ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินค้านความคิดขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 1 ชี้เปิดช่องให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าและบริการ ประชาชนจะเดือดร้อน ตั้งคำถามสะท้อนกรมสรรพากรหย่อนประสิทธิภาพใช่หรือไม่ ยันรัฐบาลมีทางหารายได้อื่นเช่นจากรัฐวิสาหกิจ รวมถึงการบังคับใช้การจับเก็บภาษีมรดกและภาษีการรับให้ให้มีประสิทธิภาพ
จากกรณีที่วานนี้ (9 มี.ค.) ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กล่าวถึงงบประมาณของประเทศว่า..ประชาชนจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ซึ่งยังอยู่ที่ร้อยละ 7 มาหลายปี แต่หากเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 จะทำให้รายได้ประเทศเพิ่มขึ้นกว่าแสนล้านบาท
วันนี้ (10 มี.ค.) นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจะทำให้คนจนต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นและผู้ประกอบการจะฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าและบริการต่างๆ ค่าครองชีพของประชาชนจะเพิ่มขึ้น ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อน อยู่อย่างยากลำบาก การมีแนวคิดว่าจะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มนี้สะท้อนให้เห็นว่ากรมสรรพากรหย่อนสมรรถภาพในการเก็บภาษีเงินได้ (Income Tax) ซึ่งเป็นภาษีที่ดีและเป็นธรรมหรือไม่
“หากกรมสรรพากรและกรมจัดเก็บภาษีอื่นมีประสิทธิภาพ ไม่หย่อนสมรรถภาพและรัฐบาลหารายได้อื่นโดยใช้รัฐวิสาหกิจ เช่น ปตท. อย่างเต็มที่ ก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นภาษี การขึ้นภาษีครั้งนี้แสดงว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลขาดประสิทธิภาพใช่ไหม หลังจากที่ได้ลองใช้มาตราลดหย่อนภาษีมาแล้วแต่ไม่ได้ผลจึงมาใช้วิธีขึ้นภาษีใช่ไหม
“กลุ่มคนที่เสียภาษีเงินได้มากที่สุดและหลีกเลี่ยงภาษีน้อยที่สุดคือลูกจ้างพนักงานและข้าราชการหรือมนุษย์เงินเดือน แต่เศรษฐีซึ่งเป็นผู้ประกอบการหรือนายทุนเสียภาษีไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เสียภาษีน้อยกว่าที่ควรเสียและมีเป็นจำนวนมากที่หลีกเลี่ยงไม่เสียภาษี เพราะมีผู้เชี่ยวชาญวางแผนเลี่ยงภาษีให้ (Tax Evasion/Abusive Tax Avoidance) และกรมสรรพากรไม่ได้บริหารจัดเก็บจากคนกลุ่มนายทุนนี้อย่างมีประสิทธิภาพ แตกต่างจากมนุษย์เงินเดือนที่ทุกครั้งได้รับเงินเดือนค่าจ้างต้องเสียภาษีทันทีโดยถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) และทุกครั้งที่คนจนซื้อสินค้าหรือบริการ เช่น ซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ คนจนต้องเสียภาษีทันที เพราะสินค้าหรือบริการนั้นจะมีภาษีบวกอยู่ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ความเป็นธรรมในการเสียภาษีมีหรือไม่หรือมีแต่ความเหลื่อมล้ำของบุคคลในสังคม” ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดินระบุ
ที่สำคัญอย่างยิ่งคือรัฐบาลควรคลอดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้แล้ว เพราะเป็นภาษีที่ดี สามารถลดความเหลื่อมล้ำของบุคลในสังคมได้ทำให้คนรวยมีบ้านราคาเป็นร้อยล้านมีที่ดินจำนวนมหาศาลต้องเสียภาษี เป็นกฎหมายที่สามารถลดการกว้านซื้อที่ดินและกักตุนที่ดินของนายทุนได้ ทำให้ลดการบุกรุกทำลายป่าของชาวบ้านเพื่อนำที่ดินมาขายให้นายทุนได้ ทำให้ที่ดินถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เพราะถ้าไม่ใช้ประโยชน์ต้องเสียภาษีมาก นายชัยสิทธิ์กล่าว และว่า การใช้มาตรา 44 เพื่อทำคลอดภาษีตัวนี้จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติมากกว่าที่ คสช.ได้ใช้มาตรา 44 ให้ใช้ราคาที่ดินของปี 2521-2524 ในการเสียภาษีบำรุงท้องที่ในปัจจุบันเพราะการใช้ราคาที่ดินเกือบ 40 ปีมาแล้วมาใช้ในการเก็บภาษีปัจจุบันซึ่งราคาเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าย่อมเป็นการเอื้อประโยชน์แก่นายทุนที่ถือครองที่ดิน ไม่เป็นธรรมกับประเทศชาติและประชาชน ขอเสนอแนะอีกครั้งว่าควรคลอดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งที่ถูกเตะล้มมาทุกรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หากมาถูกเตะล่มโดยรัฐบาลนี้ รัฐบาลนี้จะได้ชื่อว่าทำเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินของประชาชนจริงหรือ และเรื่องสุดท้ายที่ขอเสนอแนะก็คือรัฐบาลควรดำเนินการให้มีการจัดเก็บภาษีการหุ้นชินคอร์ปจากบุคคลที่ต้องเสียภาษี 12,000 ล้านบาท ไม่ควรปล่อยให้คดีขาดอายุความ หากคดีขาดอายุความก็ควรดำเนินคดีกับรัฐมนตรีคลัง และอธิบดีกรมสรรพากรทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 154 และ 157
..
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9600000024601