เงินๆงานๆ-อาชีพ » เล่นหุ้นมือใหม่ 101 : ครบทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนจะเล่นหุ้น

เล่นหุ้นมือใหม่ 101 : ครบทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนจะเล่นหุ้น

10 กรกฎาคม 2024
123   0

เล่นหุ้นมือใหม่ 101 : ครบทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนจะเล่นหุ้น

การนำเงินเก็บไปต่อยอดด้วยการลงทุนในหุ้นเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ใครหลายคนได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนโต ซึ่งถึงจะดูสร้างผลตอบแทนได้ง่าย ๆ จากการซื้อขาย แต่หุ้นกลับเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่มีรายละเอียด ความซับซ้อน รวมไปถึงความเสี่ยงเฉพาะตัว จนทำให้ใครหลายคนไม่กล้าที่จะนำเงินเก็บมาเสี่ยงในสนามการลงทุนแห่งนี้..

อย่างไรก็ดี การเก็บเงินไว้ในบัญชีเงินฝากเพียงอย่างเดียวก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่มูลค่าเงินจะลดลงจากสภาวะเงินเฟ้อได้เช่นกัน ซึ่งหากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่อยากเผชิญหน้ากับความเสี่ยงเรื่องมูลค่าเงิน และต้องการต่อยอดเงินเก็บด้วยการลงทุนในหุ้นดูบ้าง ลองมาทำความรู้จักกับทุกเรื่องสำคัญที่คนเล่นหุ้นมือใหม่ควรรู้ที่นำมาฝากในวันนี้กัน!

มือใหม่อยากเล่นหุ้นต้องทำยังไง
หุ้นคืออะไร? รู้จักหุ้นให้มากขึ้นกันก่อน!

ตามคำนิยามแล้ว หุ้น หรือ ตราสารทุน คือ ตราสารที่ธุรกิจ หรือ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ออกเพื่อระดมเงินทุนไปใช้ในกิจการ โดยผู้ถือตราสารทุน หรือผู้ถือหุ้น (Holder) จะมีฐานะเป็นเจ้าของกิจการร่วม ซึ่งจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทน ทั้งจากการซื้อขายตราสารทุน สิทธิในการจองซื้อหุ้น หรือบางธุรกิจอาจมีนโยบายจัดสรรเงินปันผลให้กับนักลงทุนด้วยเช่นกัน..

แต่หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น “หุ้น” จะเป็นตัวบอกสัดส่วนความเป็นเจ้าของในธุรกิจที่เราลงทุน ซึ่งจะมีความหมายคล้ายกับการร่วมหุ้นกับเพื่อน หรือ หุ้นส่วน เพื่อลงทุนทำธุรกิจ ซึ่งกำไรจากธุรกิจจะจัดสรรปันส่วนไปตามจำนวนหุ้นที่ถือนั่นเอง

ประเภทของหุ้น

แม้จะมีการแบ่งประเภทหุ้นตามผลตอบแทน ตลาดการลงทุน ไปจนถึงประเภทของธุรกิจ แต่โดยภาพรวมแล้ว หุ้นจะมีด้วยกัน 2 ประเภทหลัก คือ..

1. หุ้นสามัญ (Common Stock) เป็นหุ้นที่นักลงทุนมีสิทธิร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจ และมีสิทธิออกเสียงในการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในแง่มุมต่าง ๆ

2. หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นหุ้นที่นักลงทุนจะไม่มีสิทธิออกเสียงใด ๆ ในธุรกิจ แต่จะได้รับเงินปันผลในอัตราคงที่ ทั้งยังได้รับเงินทุนคืนก่อนผู้ลงทุนในหุ้นสามัญ หากเกิดเหตุที่ธุรกิจต้องเลิกกิจการ หรือ ขายสินทรัพย์เพื่อชำระบัญชี

ราคาหุ้นมาจากไหน?

สำหรับมือใหม่ที่สงสัยว่าจะเริ่มเล่นหุ้นยังไง การทำความเข้าใจราคาหุ้นถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยทั่วไปแล้ว ราคาหุ้นจะประกอบขึ้นมาจาก 2 ส่วนหลัก คือ..

1. มูลค่าแท้จริง มาจากทั้งเศรษฐกิจ ผลประกอบการ และความสามารถในบริหารงานของธุรกิจ ซึ่งเป็นทั้งตัวกำหนดมูลค่าและความเสี่ยงของหุ้น

2. ความคาดหวังจากนักลงทุน เช่น ผลตอบแทนจากเงินปันผลและส่วนต่างการซื้อขาย นำมาซึ่งความต้องการซื้อและขายหุ้นที่แตกต่างกัน ทำให้ราคาซื้อขายแตกต่างกันด้วย

ความเสี่ยงของการลงทุนหุ้น

มือใหม่หัดลงทุนหลายคนมักสงสัยอยู่เสมอว่า เราจะสามารถเริ่มเล่นหุ้นแบบไม่รู้อะไรเลยได้ไหม อย่างไรก็ดี การเริ่มเล่นหุ้นแบบไม่รู้อะไรเลยอาจยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน ทำให้ไม่ได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ต้องการได้

แน่นอนว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ถึงแม้ความเสี่ยงในการลงทุนจะเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น แต่ก็หมายถึงโอกาสในการขาดทุนเช่นกัน ดังนั้น เพื่อช่วยให้วางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลองมารู้จักความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นให้มากขึ้นกัน

1. ความเสี่ยงของตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอารมณ์ของนักลงทุน เช่น หากเห็นหุ้นตัวไหนได้กำไรดีอาจมีการแห่ซื้อหุ้นจนทำให้ราคาผันผวน

2. ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเงินเฟ้อ และการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน

3. ความเสี่ยงจากหุ้นรายตัว เช่น ความสามารถของผู้ดูแลการลงทุน ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในบริษัทอย่างมีการฟ้องร้อง มีการตกแต่งบัญชี ทำให้พื้นฐานของบริษัทดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลง

4. ความเสี่ยงจากธุรกิจ เช่น ผลประกอบการ หนี้สิน และประสิทธิภาพในการบริหารงานบริษัท หรือปัญหาที่เกิดขึ้นภายในอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

เริ่มเล่นหุ้นยังไงดี?
รู้จักหุ้นแล้ว เล่นหุ้นมือใหม่ยังต้องรู้วิธีเลือกหุ้นด้วย

เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ หลายคนคงสงสัยอยู่ไม่น้อยว่า ควรจะเริ่มเล่นหุ้นยังไงให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งถึงจะมีเทคนิคการลงทุนหุ้นมากมาย แต่โดยพื้นฐานแล้ว มือใหม่หัดลงทุนสามารถเลือกลงทุนในหุ้นได้ 4 แบบ..

แต่หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น “หุ้น” จะเป็นตัวบอกสัดส่วนความเป็นเจ้าของในธุรกิจที่เราลงทุน ซึ่งจะมีความหมายคล้ายกับการร่วมหุ้นกับเพื่อน หรือ หุ้นส่วน เพื่อลงทุนทำธุรกิจ ซึ่งกำไรจากธุรกิจจะจัดสรรปันส่วนไปตามจำนวนหุ้นที่ถือนั่นเอง

1. ลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน (Value Investment)

การลงทุนหุ้นโดยดูปัจจัยพื้นฐาน หรือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือที่หลายคนมักเรียกว่าการเล่นหุ้นแบบ VI คือ การลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจที่ดี มีโอกาสเติบโตและมีความมั่นคงสูง ทั้งยังมีประวัติในการจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนที่ดี

การลงทุนหุ้นแบบ VI เป็นการลงทุนสไตล์ Warren Buffet ที่อาศัยการวิเคราะห์ตลาดที่ครอบคลุมและมีการวางแผนการลงทุนระยะยาว ทั้งยังมีการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น เพื่อเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง และขายออกเมื่อหุ้นมีราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง

2. ลงทุนเน้นการเติบโต (Growth Investment)

ผู้เล่นหุ้นมือใหม่ที่ต้องการสร้างผลตอบแทนจำนวนมากในระยะสั้นยังสามารถเลือกลงทุนหุ้นแบบเน้นการเติบโต หรือ Growth Investment ได้เช่นกัน

การลงทุนสไตล์นี้จะเน้นเลือกหุ้นจากกิจการหรือธุรกิจที่มีโอกาสในการเติบโตสูงในอนาคต ซึ่งอาจเป็นกิจการขนาดเล็ก สตาร์ทอัพ หรือธุรกิจเปิดใหม่ที่น่าจับตามอง ซึ่งการลงทุนหุ้นสไตล์นี้ นักลงทุนจะต้องพิจารณาเลือกหุ้นที่มีอัตราส่วนทางการเงินของสินทรัพย์ (Return of Equity) มากกว่า 15% ตลอดจนกำไรสุทธิของสินทรัพย์ (Earning Per Share) เพื่อดูกำไรที่แท้จริงของกิจการที่ต้องการร่วมลงทุน

3. ลงทุนเชิงรุก (Active Investment)

การลงทุนเชิงรุกเป็นการลงทุนหุ้นที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการสร้างความได้เปรียบบนความผันผวน มีความยืดหยุ่นสูง และนิยมเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อสร้างผลตอบแทนจำนวนมากในระยะเวลาสั้น

สำหรับใครที่ต้องการเล่นหุ้นสไตล์นี้ ขอแนะนำให้ทำการศึกษาและวางแผนการลงทุนให้รอบคอบ ตั้งแต่เวลาซื้อขาย จังหวะตลาด ไปจนถึงปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อราคา เพื่อตัดสินใจซื้อและขายในทันที

4. ลงทุนเชิงรับ (Passive Investment)

การลงทุนเชิงรับเป็นการลงทุนหุ้นเพื่อหวังผลในระยะยาว หรือ เพื่อเป้าหมายที่ต้องการในระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ ไปจนถึงการสร้างรายรับหลังเกษียณ โดยการลงทุนสไตล์นี้มีความยืดหยุ่นในเรื่องของเงินทุน ทั้งยังมีความเสี่ยงของหุ้นให้เลือกลงทุนอย่างหลากหลาย

นักลงทุนหุ้นเชิงรับควรพิจารณาจังหวะในการซื้อและขายให้ดี ทั้งยังควรศึกษาตลาดและพื้นฐานของกิจการที่ต้องการร่วมลงทุนให้ได้ ที่สำคัญ ไม่ควรปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนบ่อย เนื่องจากอาจทำให้ไม่ได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ต้องการ

อยากเล่นหุ้นต้องทำยังไง เริ่มจาก 5 เช็กลิสต์นี้เลย!

หุ้นถือเป็นอีกหนึ่งประเภทการลงทุนที่มีความหลากหลายสูง ทั้งยังมีระดับความเสี่ยงให้เลือกลงทุนมากมาย ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน ผู้ที่มีทุนน้อย ฟรีแลนซ์ ไปจนถึงนักธุรกิจก็สามารถเริ่มต้นลงทุนในหุ้นได้

แต่เพื่อให้ทุกคนได้ก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสบความสำเร็จมากที่สุด และสามารถสร้างผลตอบแทนที่นำไปต่อยอดตามความต้องการด้านอื่น ๆ ได้จริง เมื่อเข้าใจพื้นฐานที่คนเล่นหุ้นมือใหม่ควรรู้กันเรียบร้อยแล้ว ขอแนะนำให้มาเก็บ 5 เช็กลิสต์นี้ให้ครบก่อนลงสนามลงทุนหุ้นจริงกัน..

1. กำหนดเป้าหมายการลงทุนก่อน (Value Investment)

การกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ไม่เพียงแต่จะช่วยเลือกหุ้นที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังช่วยเลือกระดับความเสี่ยง ระยะเวลาในการลงทุน ไปจนถึงเงินลงทุนที่ต้องลงทุนในแต่ละช่วงเวลา พร้อมช่วยวางแผนการลงทุนให้มีประสิทธิภาพ

ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อการเกษียณ หรือ เป้าหมายระยะสั้น ขอแนะนำให้กำหนดตัวเลขและผลประกอบการที่ต้องการให้ชัดเจน จากนั้นจึงพิจารณาเลือกหุ้นที่ตอบโจทย์เพื่อพาไปสู่เป้าหมายได้

2. พิจารณาความเสี่ยงที่รับไหว

หลังจากที่กำหนดเป้าหมายได้แล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาพิจารณาความเสี่ยงที่รับไหว ซึ่งอาจพิจารณาได้จากหลายปัจจัย

ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อการเกษียณ หรือ เป้าหมายระยะสั้น ขอแนะนำให้กำหนดตัวเลขและผลประกอบการที่ต้องการให้ชัดเจน จากนั้นจึงพิจารณาเลือกหุ้นที่ตอบโจทย์เพื่อพาไปสู่เป้าหมายได้

3. วางแผนการลงทุนให้ครบทุกระยะ

การวางแผนการลงทุนให้ครบทั้งระยะสั้น กลาง และยาว ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นการบริหารพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาต่าง ๆ ได้เช่นกัน

เช่น นักลงทุนอาจเลือก เปิดพอร์ตหุ้นออนไลน์ เพื่อลงทุนหุ้นในดัชนีต่างประเทศ เช่น หุ้นใน S&P500 หรือ กองทุน ETF ร่วมกับหุ้นไทย เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากตลาดต่างประเทศ

โดยในขณะที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะขาลง หรือ มีความผันผวนมาก การลงทุนในหุ้นต่างประเทศไปด้วยก็จะช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนได้ ด้วยเหตุนี้ การจัดพอร์ตครั้งแรกที่มีการเลือกลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศร่วมกันจึงสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการลงทุนระยะสั้น กลาง และยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกจังหวะของตลาดการลงทุน

4. อย่าลืมปรับพอร์ตการลงทุน

ไม่มีหุ้นตัวไหนที่สร้างผลตอบแทนได้ดีตลอดเวลา ดังนั้น เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพในทุกช่วงเวลา นักลงทุนยังควรปรับพอร์ตการลงทุนหุ้นตามระยะเวลาที่กำหนดด้วย

เช่น นักลงทุนอาจกำหนดการทำ Asset Allocation ทุก 3 เดือนไปจนถึง 1 ปี เพื่อปรับสมดุลพอร์ต หรือ สร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น โดยอาจทำการพิจารณาเลือกหุ้นที่สร้างผลตอบแทนในระดับที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ หรือ วิเคราะห์หุ้นจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น

5. วางแผนการเงินด้วย (Value Investment)

นอกจากจะเริ่มเล่นหุ้นแบบไม่รู้อะไรเลยไม่ได้แล้ว นักลงทุนยังไม่ควรเริ่มลงทุนหุ้นหากยังไม่มีแผนการเงินที่มีประสิทธิภาพ

แม้การลงทุนหุ้นจะเริ่มได้ด้วยเงินหลักร้อย แต่อย่าลืมว่า การลงทุนหุ้นมาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะขาดทุน หากนักลงทุนไม่วางแผนการเงินที่มีประสิทธิภาพรองรับ สภาพคล่องทางการเงินด้านอื่นก็อาจได้รับผลกระทบ หรือ อาจต้องนำเงินสำรองฉุกเฉินออกมาใช้ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับสุขภาพทางการเงินในระยะสั้นและยาวได้

เมื่อเข้าใจรายละเอียดของหุ้นอย่างรอบด้าน พร้อมเก็บเช็กลิสต์ที่ต้องทำก่อนเริ่มลงทุนหุ้นได้ครบถ้วนแล้ว ผู้หัดเล่นหุ้นมือใหม่ยังสามารถเลือกลงทุนหุ้นตัวแรกจากทั้งตลาดไทยและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน และบริหารความเสี่ยงได้ เพียงเปิดพอร์ต หรือ เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ InnovestX เพื่อเริ่มลงทุนไปกับหุ้นศักยภาพสูงทั้งจากไทยและต่างประเทศได้ทันที

เริ่มต้นการลงทุนหุ้นต่างประเทศผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ใน 5 ขั้นตอน

1. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน InnovestX
2. เปิดบัญชีพร้อมยืนยันตัวตน และประเมินความเสี่ยงในการลงทุน
3. เติมเงินเข้าบัญชี
4. แลกเปลี่ยนสกุลเงินที่ต้องการเทรด
5. เริ่มต้นเทรดได้ทันที

คำเตือน
* การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

ข้อแนะนำ..สำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่

cr: https://www.innovestx.co.th/knowledge-hub/detail/start-investing..