สมาร์ทโฟน&ไอที » เราจะรู้ได้อย่างไรว่า สมาร์ทโฟนกำลังจับสัญญาณ 4G หรือ 3G TY

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า สมาร์ทโฟนกำลังจับสัญญาณ 4G หรือ 3G TY

31 ธันวาคม 2017
3231   0

http://bit.ly/2JNuFg1

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: www.ubmthai.com

เราสามารถสังเกตได้จาก สัญลักษณ์บนหน้าจอของอุปกรณ์
กรณีที่จับสัญญาณ 4G หน้าจอมือถือจะแสดงสัญลักษณ์ 4G หรือ LTE
และกรณีที่จับสัญญาณ 3G หน้าจอจะแสดงสัญลักษณ์ 3G หรือ H หรือ H+

**ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทอุปกรณ์และระบบปฏิบัติการของเครื่องที่ใช้


ในระบบ 3G

..สัญลักษณ์ 3G,H,H+,E,G มันต่างกันยังไง..

3G,H,H+,G และ E เป็นสัญลักษณ์ของการรับส่งข้อมูลบนเคลือข่ายโทรศัพท์แต่ละสัญลักษณ์ก็จะมีความเร็วสูงสุดที่ต่างกัน (ขอใช้คำว่าความเร็วสูงสุดนะครับเพราะสัญลักษณ์ต่างกันจริงแต่ความเร็วอาจไม่ต่างกันขึ้นอยู่กับสัญญาณโทรศัพท์ของแต่ละพื้นที่ด้วยและอาจมีปัจจัยของผู้ให้บริการด้วย)..
“G” แสดงว่าจับสัญญาณ GSM แบบ GPRS
“E” แสดงว่าจับสัญญาณ GSM แบบ EDGE
“3G” แสดงว่าจับสัญญาณ 3G ได้แล้วแต่รองรับความเร็วสูงสุดในดาวน์โหลดอยู่ที่ 384 kbps เท่านั้น
“H” แสดงว่าจับสัญญาณ 3G ในโหมด HSPA “High Speed packet access” ซึ่งจะทำให้คุณใช้อินเตอร์เนตได้ที่ความเร็วตั้งแต่ 7.2 Mbps, 10.2 Mbps, 14.4 Mbps สูงสุด ขึ้นอยู่สเปคของเครื่องว่ารองรับได้สูงสุดเท่าไร
“H+” แสดงว่าจับสัญญาณ 3G ในโหมด HSPA+ “High Speed packet access Plus” ซึ่งจะทำให้คุณใช้อินเตอร์เนตได้ที่ความเร็วตั้งแต่ 21 Mbps และสูงสุดที่ 42 Mbps ขึ้นอยู่สเปคของเครื่องว่ารองรับได้สูงสุดเท่าไร

สรุป H+ เร็วที่สุด G ช้าสุด


รวมระบบอินเตอร์เน็ตในไทย

2G (GSM) โหมดเต่าสุด

G (GPRS – General Packet Radio Service) ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุดจะอยู่ที่ 48 Kbps

E (EDGE – Enhance Datarate for GSM Evolution) ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุดอยู่ที่ 236 Kbps

สำหรับบางรุ่นที่ไม่มีการแยกความเร็วให้มันจะขึ้นว่า 2G อัตโนมัติ

 

3G (WCDMA)

3G  หรือ EDGE+ ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุดอยู่ที่ 384 kbps

   (HSPA – High Speed Packet Access)  ความเร็วอินเตอร์เนตสูงสุด 7.2-14.2 Mbps

H+ (HSPA+ – High Speed packet access Plus) ความเร็วอินเตอร์เน็ตสูงสุด 21-42 Mbps

สรุปอย่างสั้นๆก็คือ 3G นั้นแบ่งเป็นมาตราฐานใหญ่ๆได้  2 มาตราฐานตัวดังนี้

  • CDMA2000 (ปัจจุบันไม่มีใช้แล้ว)
  • UTMS
UTMS ใช้เทคโนโลยีในการส่งข้อมูลที่มีชื่อดังต่อไปนี้
  • WCDMA   เป็นเทคโนโลยี UTMS ในยุคแรกๆ ยังส่งข้อมูลได้ช้า
  • HSPA       พัฒนาต่อจาก WCDMA ส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น
  • HSPA+    พัฒนาต่อจาก HSPA อีกต่อหนึ่งส่งข้อมูลได้เร็วมากขึ้นอีก
ซึ่งเจ้า Android ของเราจะเข้าใจว่า WCDMA นั้นคือ 3G ก็เลยใช้คำว่า “3G” ไปเลย ต่อมามี HSPA ก็เลยเพิ่มสัญลักษณ์ “H” ขึ้นมา ต่อมามี HSPA+ มาอีกก็เลยเพิ่ม H+ ขึ้นมาอีก

R – Roamingคืออะไร

ส่วนบางคนที่เห็นตัวอักษร R มันคือ Roaming หมายถึง ช่วงเวลาที่โทรศัพท์ของคุณใช้เครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของคุณไม่ได้เป็นเจ้าของในการส่งและรับข้อมูลส่วนใหญ่จะใช้กันเวลาที่เราเดินทางไปต่างประเทศ เช่น เราใช้เครือข่าย AIS อยู่และจะไปต่างประเทศซึ่งเราก็ต้องติดต่อขอ Roaming กับทาง AIS ก่อน เวลาที่เราไปต่างประเทศแล้วเราก็จะสามารถใช้มือถือได้เหมือนกับตอนที่อยู่ประเทศไทย เพียงแต่ใช้เสาสัญญาณของที่ต่างประเทศ ซึ่งการ Roaming แบบนี้จะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะมากๆ ใครคิดจะใช้ควรศึกษาให้ดีๆเลยนะ พลาดทีโดนไปเป็นหมื่นเลย..

ส่วนถ้าเป็นในประเทศไทยเองมันจะเป็นการ Roaming เพื่อหาสัญญาณ เช่น ถ้าคุณใช้ทรูเวลาที่มันหาสัญญาณของ TrueMove-H ไม่ได้มันก็จะค้นหาสัญญาณ True Move ให้แทน(รู้สึกว่าจะมีค่ายเดียวนะที่เป็น)ซึ่งจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่มันจะค่อนข้างกินแบตนึดนึงเพราะต้องค้นหาสัญญาณอยู่เรื่อยๆ

4G LTE โหมดเร็วสุด

ในส่วนของโหมดนี้หลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า 4G LTE กันเป็นอย่างดีแล้ว และคงมีคำถามว่าแล้ว LTE คืออะไร? เกี่ยวข้องกับ 4G อย่างไร? สำหรับ LTE นั้นย่อมาจาก Long Term Evolution เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ถูกนำมาทดลองใช้ในยุค 4G โดยเกิดจากความร่วมมือของ 3GPP (3rd Generation Partnership Project) ที่มีการพัฒนาให้ LTE มีความเร็วมากกว่ายุค 3G ถึง 10 เท่า โดยมีความสามารถในการส่งถ่ายข้อมูลและมัลติมีเดียสตรีมมิ่งที่มีความเร็วอย่างน้อย 100 Mbps และมีความเร็วในดาวน์โหลดสูงสุดถึง 1 Gbps

นอกจากเทคโนโลยี LTE แล้วยังมีอีก 2 เทคโนโลยีที่ถูกนำมาทดลองใช้เหมือนกันคือ UMB (Ultra Mobile Broadbrand) ที่พัฒนามาจากมาตรฐาน CDMA2000 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในยุค 3G นั่นเอง(ในปัจจุบันไม่มีแล้ว) และ WiMax (Worldwide Interoperability for Microwave Access) เป็นเทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูง โดยพัฒนามาจากมาตรฐาน IEEE 802.16 ซึ่งเป็นมาตราฐานเดียวกันกับ Wi-Fi แต่มาตรฐาน Wimax สามารถส่งสัญญาณได้ไกลถึง 40 ไมล์ ด้วยความเร็ว 70 Mbps และมีความเร็วสูงสุด 100 Mbps โดยปัจจุบันนี้มีเพียง 2 เทคโนยีที่ถูกนำมาใช้ในยุค 4G คือ เทคโนโลยี LTE และ Wimax ซึ่งเกือบทุกประเทศทั่วโลกใช้เทคโนโลยี 4G LTE แต่มีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยี 4G Wimax เช่น ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน บังคลาเทศ เป็นต้น.

เทคนิคเพิ่มเติม:

สำหรับท่านที่ใช้ 2 SIM ในเครื่องเดียวกัน SIMที่จะใช้ติดต่อInternet ต้องใช้ SIM1 เท่านั้น เพราะจะมีเสถียรภาพสูงกว่าใช้ช่อง SIM2นะครับ ..ลองย้ายช่องดู แล้วจะเห็นผลครับ.

ที่มา Telecomtalk

http://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php

ขอบคุณ http://www3.truecorp.co.th/cm/support_new_content/1221
https://birthw.blogspot.com/2011/12/3ghhe-g.html
http://www.acerspace.com/internet-signal-meanin