กาแฟ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ |
จีนัส (Genus): Coffea
สปีชีส์ (Species): C. Canephora
ชื่อสามัญ (Common name): Robusta Coffee
ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Coffea robusta Pierre ex Froehner L.
ราก
กาแฟมีรากแก้ว และมีรากแขนงแตกออกจากรากแก้ว ประมาณ 4 ถึง 8 ราก รากแขนงจะมีรากฝอย และจากรากฝอยจะมีรากแตกออกมาอีกเป็นรากสำหรับดูดอาหาร รากชนิดนี้มีจำนวนประมาณ 60 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ จะแผ่กระจายในระดับผิวดินลึก ประมาณ 20 เซนติเมตร
ลำต้นและกิ่ง
ลำต้น (Main Stem) เป็นลำต้นเจริญเติบโตมาจากรากแก้ว มีลักษณะเป็นข้อและปล้อง ในขณะที่กาแฟต้นยังมีขนาดเล็กจะเห็นได้ชัด โดยใบจะอยู่ตามข้อของลำต้น เมื่อต้นโตขึ้นใบจะร่วงหล่นไป และโคนใบของกาแฟมีตา 2 ชนิด คือ ตาบนและตาล่าง..
ใบ
ลักษณะเป็นใบเดี่ยว ก้านใบสั้น โคนใบและปลายใบเรียวแหลม ตรงกลางใบกว้าง ผิวใบเรียบ นุ่มเป็นมัน ขอบใบหยักเป็นคลื่น ขนาดของใบขึ้นกับพันธุ์กาแฟ ใบจะเกิดที่ข้อเป็นคู่ตรงข้ามกัน ส่วนปากใบอยู่ด้านท้องใบ แต่ละใบจะมีปากใบประมาณ 3 ล้านถึง 6 ล้านรู ปากใบของกาแฟโรบัสต้ามีขนาดเล็กกว่าปากใบของกาแฟอาราบิก้า แต่มีจำนวนมากกว่า อายุใบประมาณ 250 วัน
ช่อดอกและดอก
ดอก ปกติดอกกาแฟจะมีลักษณะเป็นดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ มีกลีบดอก จำนวน 4 ถึง 9 กลีบ กลีบเลี้ยง จำนวน 4 ถึง 5 ใบ มีเกสร 5 อัน รังไข่ 2 ห้อง แต่ละห้องของรังไข่จะมีไข่ 1 ใบ ผลกาแฟจึงมี 2 เมล็ด ดอกกาแฟจะออกเป็นกลุ่มๆ บริเวณโคนใบบน ข้อของกิ่งแขนงที่ 1 แขนงที่ 2 หรือ 3 กลุ่มดอกแต่ละข้อมีดอก จำนวน 2 ถึง 20 ดอก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของต้นตา ดอกจะออกจากกิ่งแขนงจากข้อที่อยู่ใกล้ลำต้นออกไปหาปลายกิ่งแขนง ปกติกาแฟจะออกดอกตามข้อของกิ่ง ข้อที่ออกดอกผลแล้วในปีต่อไปจะไม่ออกดอกและให้ผลอีก
ผลและเมล็ด
ผล ผลของกาแฟมีลักษณะคล้ายลูกหว้า รูปรี ก้านผลสั้น ผลดิบสีเขียว เมื่อเวลาผลสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม สีแดง ผลของกาแฟจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. เปลือก (Skin) 2. เนื้อ (Pulp) มีสีเหลือง เมื่อสุกมีรสหวาน 3. กะลา (Parchment) จะห่อหุ้มเมล็ด ช่วงระหว่างเมล็ดกับกะลาจะมีเยื่อบางๆ หุ้มเมล็ดอยู่เรียกว่า เยื่อหุ้มเมล็ด (Silver Skin) ผลกาแฟแต่ละผลจะมี 2 เมล็ดประกบกัน ด้านที่ประกบกันจะอยู่ด้านในมีลักษณะแบน มีร่องบริเวณกลางเมล็ด 1 ร่อง ส่วนด้านนอกมีลักษณะโค้ง ลักษณะเมล็ดจะเป็นเดี่ยวหรือเมล็ดโทน (Pea Bean, Pea Berry) ในบางครั้งหากการผสมเกสรไม่สมบูรณ์ จะทำให้ผลติดเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว ผลกาแฟมีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียวรูปร่างกลมรีทั้งเมล็ด โดยมีร่องบริเวณกลางเม็ด 1 ร่อง (ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ; กรมวิชาการเกษตร)
การปรับปรุงพันธุ์กาแฟโรบัสต้า |
โดยทั่วไปแล้วกาแฟมีอยู่หลายร้อยสายพันธุ์ แต่ที่เรานิยมนำมาบริโภคหรือกล่าวได้ว่ามีผลต่อเศรษฐกิจนั้นมีอยู่สองสายพันธุ์คือ อราบิก้าและโรบัสต้า สำหรับประเทศไทยนั้น กาแฟ จำนวน 90 เปอร์เซ็นต์เป็นพันธุ์โรบัสต้า ที่ปลูกทางภาคใต้ของประเทศ
โรบัสต้า (Robusta: Coffea Canephora) เป็นพันธุ์ที่ทนต่อโรค แต่มีรสชาติกระด้างกว่าและไม่อ่อนละมุนเหมือนพันธุ์อราบิก้า มี Body สูง มีสารคาเฟอีนมากกว่าพันธุ์อราบิก้า คือมีจำนวนประมาณ 2 ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ต่อเมล็ด สามารถปลูกได้ในพื้นที่ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับเหนือน้ำทะเล ประมาณ 2,000 ฟุต ในประเทศไทยปลูกมากในภาคใต้ เช่น จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง และจังหวัดสุราษฏร์ธานี เป็นต้น สำหรับในตลาดโลก กาแฟโรบัสต้าถือว่าเป็นกาแฟที่มีคุณภาพต่ำ
โรบัสต้าที่ให้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพดีเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรและภาคอุตสาหกรรม จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงพันธุ์กาแฟโรบัสต้าขึ้น โดยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ซึ่งมีปิยะนุช นาคะ เป็นหัวหน้าโครงการ ดังรายละเอียด (ปิยะนุช นาคะ, ปิยะมาศ ศรีรัตน์ และ อรพิน ภูมิภมร, 2550)
1. คัดเลือกพันธุ์กาแฟโรบัสต้า
2. เปรียบเทียบพันธุ์กาแฟโรบัสต้า ชุดที่ 1
3. คัดเลือกพันธุ์กาแฟโรบัสต้า เมล็ดใหญ่
4. การเปรียบเทียบพันธุ์กาแฟโรบัสต้า ชุดที่ 4 จากประเทศมาเลเซีย
5. การเปรียบเทียบพันธุ์กาแฟโรบัสต้า ต่างประเทศ ชุดที่ 3 จำนวน 12 สายพันธุ์
6. การเปรียบเทียบพันธุ์กาแฟโรบัสต้า ชุดที่ 5 จำนวน 15 สายพันธุ์
7. การเปรียบเทียบพันธุ์กาแฟโรบัสต้าสาย พันธุ์ต่างประเทศ ชุดที่ 2 จำนวน 13 สายพันธุ์
8. การทดสอบพันธุ์กาแฟโรบัสต้าพันธุ์ดีใน สภาพพื้นที่ต่างๆ
9. การเปรียบเทียบพันธุ์กาแฟโรบัสต้า ชุดที่ 6 จำนวน 6 สายพันธุ์
10. ทดสอบเทคโนโลยีการผลิตต้นอ่อน กาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่เหมาะสมจากการ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
11. ศึกษาคุณภาพการชิมรส เคมี กายภาพ ของกาแฟโรบัสต้าพันธุ์ต่างๆ
1. คัดเลือกพันธุ์ที่เก็บจากแปลงเกษตรกร
– ปี พ.ศ. 2532 ถึง 2544 ศึกษาและคัดเลือกพันธุ์ได้ 3 สายพันธุ์ คือ 1/11, 1/13 และ 1/16
– ปี พ.ศ. 2546 ถึง 2548 เสนอเป็นพันธุ์แนะนำ 1 สายพันธุ์คือ สายพันธุ์ 1/11
– ปี พ.ศ. 2549 ถึง 2553 ศึกษาและคัดเลือกพันธุ์ ได้พันธุ์ที่มีแนวโน้มที่ดีคือ พันธุ์พะโต๊ะ เบอร์ 1, 5, 6 และ 9 พันธุ์เมล็ดใหญ่ เบอร์ 2, 16, 19, 28, 30, 42, 49 และ 69
– ปี พ.ศ. 2542 ถึง 2549 ทดสอบและคัดเลือกพันธุ์ได้ 7 พันธุ์ พันธุ์ที่ได้ผลผลิตสูง คือ
1) FRT65, FRT27, FRT11, FRT17 และ FRT10
2) FRT09 และ FRT68– ปี พ.ศ. 2550 ถึง 2551 เสนอเป็นพันธุ์แนะนำ 2 พันธุ์คือ พันธุ์ FRT65 และ FRT17
– ปี พ.ศ. 2552 ถึง 2553 เสนอเป็นพันธุ์แนะนำ 2 พันธุ์คือ พันธุ์ FRT09 และ FRT68
1.1 ให้ผลผลิตเมล็ดแห้งเฉลี่ย ระยะเวลา 9 ปี จำนวน 3.94 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี สูงกว่า
พันธุ์เกษตรกรปลูกทั่วไป 73.80 เปอร์เซ็นต์2.2 เมล็ดได้มาตรฐาน จำนวน 17.95 กรัมต่อ 100 เมล็ดแห้ง
3.3 การทดสอบคุณภาพการชิม จัดอยู่ใน Classs 7.2 4. มีค่า Extractability 53.73 เปอร์เซ็นต์ และคาเฟอีน 2.01 เปอร์เซ็นต์ ในการศึกษาและคัดเลือกพันธุ์ที่ได้มีการเก็บรวบรวมภายในประเทศนั้น สามารถคัดเลือกได้พันธุ์กาแฟที่มีแนวโน้มว่าจะใช้เป็นพันธุ์ปลูกได้ จำนวน 12 หมายเลข คือ สายพันธุ์พะโต๊ะ หมายเลข 1, 5, 6 และ 9 และสายพันธุ์เมล็ดใหญ่ หมายเลข 12, 16, 19, 28, 30, 42, 49 และ 69
2.1 ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์เปรียบเทียบ 73.7 เปอร์เซ็นต์ คือ เฉลี่ย 4 ปี (ปี พ.ศ. 2545/ 2546 ถึง 2548/2549) จำนวน 349.3 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี
2.2 ขนาดเมล็ดได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการ คือ มีน้ำหนัก 16.2 กรัมต่อ 100 เมล็ด
2.3 การทดสอบคุณภาพการชิมเป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการ โดยจัดอยู่ใน Class 7.2 4. มีเปอร์เซ็นต์สารสกัดเนื้อกาแฟและเปอร์เซ็นต์คาเฟอีนสูง คือ 57.37 และ 2.44
เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ
3.1 ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์เปรียบเทียบ 55.8 เปอร์เซ็นต์ คือ เฉลี่ย 4 ปี (พ.ศ. 2545/ 2546 ถึง 2548/2549) จำนวน 207.8 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี
3.2 อายุการเก็บเกี่ยวสั้น ระยะเวลา 9 เดือน และเก็บเกี่ยวหมดก่อนพันธุ์อื่นๆ จำนวน 1 ถึง 2 เดือน
3.3 การทดสอบคุณภาพการชิมเป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการ โดยจัดอยู่ใน Class 7.2 4. มีเปอร์เซ็นต์สารสกัดเนื้อกาแฟและเปอร์เซ็นต์คาเฟอีนสูง 57.22 และ 2.67 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
4.1 ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์พื้นเมืองเฉลี่ยระยะเวลา 4 ปี ของการเก็บเกี่ยว (พ.ศ. 2546/ 2547 ถึง 2549/2550) จำนวน 3.7 เท่า คือ 469 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี
4.2 ขนาดเมล็ดได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการ คือ 15.97 กรัมต่อ 100 เมล็ดแห้ง
4.3 อัตราการเปลี่ยนจากผลสดเป็นเมล็ดกาแฟสารค่อนข้างสูง เฉลี่ย 4 ปี 23.78 เปอร์เซ็นต์
5.1 ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์พื้นเมืองเฉลี่ยระยะเวลา 4 ปี ของการเก็บเกี่ยว (พ.ศ. 2546/ 2547 ถึง 2549/2550) จำนวน 3.4 เท่า คือ 431 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี
5.2 ขนาดเมล็ดได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการ คือ 17.3 กรัมต่อ 100 เมล็ดแห้ง
5.3 อัตราการเปลี่ยนจากผลสดเป็นเมล็ดกาแฟสารค่อนข้างสูง เฉลี่ย 4 ปี 25.11 เปอร์เซ็นต์
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูก |
ดินสำหรับปลูกกาแฟนั้นสิ่งที่สำคัญคือ มีการถ่ายเทอากาศและระบายน้ำได้ดี ไม่ควรเป็นพื้นที่มีการท่วมขังของน้ำ ดินที่ปลูกหากถือว่าเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ควรจะเป็นดินเหนียวที่มีธาตุโปแตสเซียม ซึ่งถือเป็นดินที่ดีที่สุด และความเป็นกรดเป็นด่างของดินควรอยู่ระหว่าง 4.5 ถึง 6.5
ภูมิอากาศ
อุณหภูมิ เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของกาแฟ กาแฟแต่ละพันธุ์จะมีความต้องการอุณหภูมิที่แตกต่างกันไป กล่าวคือกาแฟอาราบิกา สามารถเจริญเติบโตได้ดีระหว่างอุณหภูมิ 15 ถึง 26 องศาเซลเซียส และกาแฟโรบัสตาจะเจริญเติบโตได้ดีระหว่างอุณหภูมิ 25 ถึง 32 องศาเซลเซียส
ปริมาณฝนและความชื้น
ความชื้นของอากาศที่ต้องการสำหรับการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ของกาแฟแต่ละพันธุ์ที่แตกต่างกันไป กล่าวคือกาแฟอาราบิกาต้องการความชื้นอยู่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกาแฟโรบัสต้าต้องการความชื้นประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างไรก็ตามความชื้นที่ต่ำกว่าปกติที่กล่าวมาเรียกว่าช่วงแล้ง ถือว่าจำเป็นสำหรับกระตุ้นการเกิดตาดอก และหลังจากนั้นความชื้นที่สูงจำเป็นสำหรับการแตกดอกออกผลต่อไป
น้ำฝนเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความชื้น เพราะส่วนใหญ่แล้วสวนกาแฟจะอาศัยปริมาณน้ำฝนเป็นหลักมากกว่าระบบชลประธานหรือการให้น้ำ ในพื้นที่ปลูกกาแฟจะต้องมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 1,500-2,300 มิลลิเมตรต่อปี การรักษาความชื้นในดินในพื้นที่แห้งแล้งกระทำโดยการใช้วัสดุคลุมดินเป็นสิ่งจำเป็นในบางครั้ง โดยเฉพาะในระยะการออกดอกติดผล และการพัฒนาของผล
ปริมาณแสง
กาแฟแต่ละชนิดจะทนทานต่อสภาพแสงแดดที่แตกต่างกันไป ร่มเงาในพื้นที่และแสงแดดจัดจึงเป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะกับต้นกาแฟที่ยังเล็กอยู่ แต่เมื่อต้นกาแฟโตขึ้นแล้วและให้ผลผลิต หากได้รับแสงมากจะให้ผลผลิตสูง แต่ปัจจัยด้านปุ๋ยและน้ำต้องพร้อมด้วย เพราะถือเป็นองค์ประกอบที่ต้องไปด้วยกัน
สรุปสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
- ดินมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง
- มีความเป็นกรดเป็นด่าง ระหว่าง 4.5 ถึง 6.5
- อุณหภูมิที่เหมาะสม 25 ถึง 32 องศาเซลเซียส
- ปริมาณน้ำฝนไม่ต่ำกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปี
- มีช่วงแล้ง ระยะเวลานาน 8 ถึง 10 สัปดาห์ เพื่อชักนำให้เกิดตาดอกการปลูก
การปลูกและการดูแลรักษา |
การเตรียมพื้นที่
พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกกาแฟควรเป็นพื้นที่ที่มีความสูง ประมาณ 800 ถึง 12,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีความลาดชันไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ และต้องทำการกำจัดวัชพืชโดยการถางให้โล่ง การโค่นล้มพืชพรรณเก่าในพื้นที่ อาจจะโค่นล้มแบบเหลือตอ หรือโค่นล้มแบบถอนราก การโค่นล้มอาจจะเว้นต้นไม้เก่าไว้บ้างเพื่อใช้เป็นไม้ร่มเงา ซึ่งต้องพิจารณาถึงความจำเป็นของไม้ร่มเงาด้วย หลังจากโค่นล้มต้องมีการกำจัดพืชพรรณเก่าในแปลงโดยการกองแล้วเผาให้สะอาด เตรียมทำแนวระดับ การเตรียมพื้นที่ส่วนมากเริ่มเตรียมในช่วงฤดูแล้ง เพื่อให้พร้อมสำหรับปลูกกาแฟในฤดูฝนที่จะมาถึง (ประมาณเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม) ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ชั้นดินลึกไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร มีความเป็นกรดด่าง 5.5 ถึง 6.5 และสามารถระบายน้ำได้ดี
การเตรียมต้นกล้ากาแฟ
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมต้นกล้า
- เตรียมแปลงเพาะเมล็ดกาแฟโดยใช้ทรายผสมกับขี้เถ้าแกลบ อัตราส่วน 1 ต่อ 1 เกลี่ยลงในกระบะหรือแปลงที่สามารถระบายน้ำได้ดี ซึ่งแปลงเพาะเมล็ดนี้ควรอยู่ในโรงเรือนที่มีหลังคาบังแดดให้แสงเข้าได้ 50 เปอร์เซ็นต์ และปราศจากสัตว์เลี้ยงเข้าไปขุดคุ้ย รบกวน
- นำเมล็ดพันธุ์กาแฟที่แช่น้ำผสมยาฆ่าเชื้อรา เช่น สารประกอบทองแดง แช่ไว้เป็นเวลา 1 คืนมาเพาะลงในแปลงที่เตรียมไว้ โดยใช้ไม้กดเป็นร่องห่างกันประมาณ 5 เซนติเมตร แล้วโรยเมล็ดลงไป
หมายเหตุ: เมล็ดพันธุ์กาแฟที่ใช้ควรเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี มาจากต้นแม่ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ มีอัตราการงอกสูง (เมล็ดไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 6 เดือน) - รดน้ำอย่างสม่ำเสมอจนเมล็ดงอกขึ้นมา ระยะเวลาจากการที่มีเมล็ดงอกขึ้นมาเป็นระยะหัวไม้ขีด ใช้เวลาประมาณ 30 ถึง 45 วัน และระยะที่มีใบเลี้ยงหรือระยะปีกผีเสื้อ ใช้เวลาประมาณ 46 ถึง 60 วัน ให้ทำการถอนต้นกาแฟไปปลูกต่อในถุงพลาสติกที่เตรียมไว้
ขั้นตอนที่ 2 เตรียมถุงพลาสติกใส่ดิน
ส่วนผสมของดินที่จะนำมาบรรจุถุงมีดังนี้
- หน้าดินดำ จำนวน 5 ปี๊บ (หากไม่มีหน้าดินดำใช้ดินร่วน ทรายหยาบ และขี้เถ้าแกลบชนิดละ 1 ส่วน)
- ปุ๋ยคอก จำนวน 1 ปี๊บ
- ปูนขาว (โดโลไมท์) จำนวน 200 กรัม
- หินฟอสเฟต (0-3-0) จำนวน 200 กรัม
- ฟูราดาน จำนวน 25 กรัม
- นำส่วนผสมมากองเป็นชั้นๆ ไล่จากส่วนผสมที่มีปริมาณมากที่สุดไปไปหาปริมาณน้อยที่สุด (ดิน > ปุ๋ยคอก > ปูนขาว > หินฟอสเฟต > ฟูราดาน ตามลำดับ) นำมาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
- เตรียมถุงพลาสติกสีดำสำหรับใช้เพาะกล้า โดยขนาดถุง กว้าง 7 นิ้ว สูง 10 นิ้ว (ถุง
- นำดินที่ผสมแล้วไปบรรจุในถุงให้แน่นและใส่ให้เต็มจนถึงปากถุง เท่ากับจำนวนกล้าที่เพาะเมล็ดไว้ นำไปเรียงไว้ในเรือนเพาะชำ แล้วถอนต้นกล้าที่งอกจากเมล็ดที่เพาะไว้ในระยะหัวไม้ขีด ถึงระยะปีกผีเสื้อนำมาในถุงพลาสติก
- ให้น้ำสม่ำเสมอเช้าและเย็น จนต้นกล้าเจริญเติบโต ซึ่งใช้ระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณ 8 ถึง 12 เดือน โดยต้นกล้าที่ดีจะต้องมีลักษณะต้นตรง มีความแข็งแรง ทุกข้อมีจำนวนใบอยู่ครบ ไม่มีโรคและแมลงเข้าทำลาย มีความสูงประมาณ 45 เซนติเมตร มีจำนวนข้อประมาณ 6 ถึง 8 ข้อ (มีใบ 6 ถึง 8 คู่)
- ต้นกล้าที่พร้อมจะนำไปปลูก จะต้องผ่านการทดสอบให้ได้รับแสงแดดมากขึ้นประมาณ 1 เดือนก่อนนำไปปลูก เพื่อให้ต้นกล้าแข็งแรงและมีอัตรารอดตายสูงเมื่อนำไปปลูกลงในแปลง
การปลูก
การปลูกกาแฟโดยทั่วไปจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและความต้องการของผู้ปลูกเองหลักการโดยทั่วไปคือ การกำหนดระยะปลูก ประชากรที่เหมาะสมของกาแฟที่จะให้ผลผลิตที่ดี จะอยู่ประมาณ 150 ถึง 200 ต้นต่อไร่แต่สามารถที่จะเพิ่มหรือลดจำนวนกว่าปกติได้ ขึ้นกับวิธีการปลูกดังนี้ คือหากจะเพิ่มจำนวนให้มากกว่านี้ การตัดแต่งต้นกาแฟจำเป็นจะต้องออกแบบให้เหมาะสมเพื่อให้ต้นกาแฟสามารถรับแสงเต็มที่ในการติดดอกออกผล บางครั้งจะต้องตัดทั้งต้นสลับแถวเพื่อให้เกิดช่องว่างในพื้นที่ แล้วต้องเลี้ยงต้นใหม่จนอายุ ประมาณ 3 ปีก็จะออกดอกติดผลอีก แต่ก็ต้องตัดต้นกาแฟในแถวใกล้เคียงกันออกเพื่อเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับต้นใหม่เช่นกัน โดยมีหลักการว่าต้นกาแฟจะติดดอกออกผลเมื่อต้นมีอายุประมาณ 3 ปีและต้นกาแฟที่อายุมากขึ้นจะให้ผลผลิตลดลงและการจัดการจะยุ่งยากมากขึ้น ดังนั้นการจัดการวิธีการปลูกจะต้องวางแผนให้แน่นอนและชัดเจน
การปลูกส่วนมากแล้วจะมาจากต้นกล้าที่ชำในถุงพลาสติก ดังนั้นก่อนที่จะนำลงปลูกในหลุมจำเป็นที่จะต้องนำถุงพลาสติกออกเสียก่อน แล้วนำมาวางในหลุมที่ขุดให้มีขนาดพอใส่ถุงลงได้ และระมัดระวังอย่าให้รากแก้งคดงอ หลังจากนั้นนำดินมาใส่ให้เต็มโคนต้นและกดรอบๆ โคนต้นให้ดินแน่น ในกรณีที่ปลูกจากต้นกล้าที่ชำในแปลง และมีการถอนรากควรเลือกช่วงปลูกที่มีฝนตกสม่ำเสมอ หากฝนไม่ตกควรรดน้ำจนกว่าต้นกล้าจะตั้งตัวได้
ไม้ร่มเงา เป็นวิธีการที่นิยมปลูกเพื่อให้ร่มเงาแก่ต้นกาแฟในระยะแรก และมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการพังทลายของดิน โดยไม้บังร่มกาแฟแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ไม้บังร่มเงาชั่วคราว และไม้บังร่มเงาถาวร โดยไม้ร่มเงาชั่วคราว ได้แก่ พืชล้มลุก เช่น ข้าวโพด ปอเทือง กล้วย เป็นต้น ส่วนไม้ร่มเงาถาวร ได้แก่ ไม้ยืนต้น เช่น สะตอ ทองหลาง มะพร้าว แค ขี้เหล็ก เป็นต้น แต่การปลูกไม้ร่มเงานั้นควรมีการจัดการตัดแต่งไม้ร่มเงา เพื่อให้ต้นกาแฟได้รับแสงที่เหมาะสมเพื่อการติดดอกออกผลที่เต็มที่ด้วย เพราะบางครั้งหากการจัดการไม่ดี ไม้ร่มเงาจะเป็นตัวต้นเหตุของการทำให้ผลผลิตกาแฟลดลงได้เพราะจะเป็นการบังต้นกาแฟมากเกินไป และอาจจะแย่งน้ำและอาหารจากต้นกาแฟได้
ระยะห่างของการปลูก
ระยะปลูกที่เป็นมาตรฐาน คือ ระยะ 3 x 3 เมตร จะได้ปริมาณต้นกาแฟ จำนวน 177 ต้นต่อไร่ การปลูกที่มีการวางแผนจะเป็นการปลูกในลักษณะตัดเป็นแถว เรียกว่าการปลูกแบบฮาวาย ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องจัดระยะชิดกว่าที่กล่าวมา ดังนั้นการเตรียมหลุมปลูก หากมีการไถพรวนอย่างดีก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขุดหลุมให้มีขนาดกว้างมากนัก แต่หากไม่มีการไถพรวนจำเป็นที่จะต้องขุดหลุม ให้มีขนาดกว้าง 50 x 50 x 50 เซนติเมตร แล้วทำการกลบหลุม ในขณะที่มีการเริ่มปลูกควรใส่ปุ๋ย Rock Phosphate (ปุ๋ยรองหลุม) จำนวนประมาณ 200 กรัมต่อหลุม
การให้น้ำ
พื้นที่ปลูกกาแฟที่เหมาะสม ส่วนใหญ่จะอยู่บนพื้นที่ที่มีความสูงในระดับตั้งแต่ 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป ซึ่งจะอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 1,500 มิลลิเมตร และมีการกระจายของฝนตั้งแต่ระยะเวลา 5 ถึง 8 เดือน ในรอบ 1 ปี นอกจากนั้นยังมีสภาพอากาศหนาวเย็น และมีความชื้นสูง จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องอาศัยระบบการให้น้ำกับต้นกาแฟ และหากปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผลยืนต้น หรือปลูกกาแฟภายใต้สภาพร่มเงาร่วมกับไม้ป่าโตเร็ว รวมถึงการคลุมโคนต้นก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ปลูกไม่ต้องพึ่งพาระบบชลประทาน
การตัดแต่งกิ่ง
การตัดแต่งแบบต้นเดี่ยวของอินเดีย (Indian Single Stem Pruning) หรือการตัดแต่งแบบทรงร่ม (Umbrella) เป็นวิธีการตัดแต่งกิ่งที่ใช้กับกาแฟโรบัสต้าที่ปลูกภายใต้สภาพร่มเงา โดยมีขั้นตอนดังนี้
- เมื่อต้นกาแฟเจริญเติบโตจนมีความสูง 90 เซนติเมตร ต้องตัดยอดให้เหลือความสูงเพียง 75 เซนติเมตร
- เลือกกิ่งแขนงที่ 1 (Primary Branch) ที่อ่อนแอทิ้ง จำนวน 1 กิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ยอดฉีกบริเวณส่วนกลางของกิ่งและต้องหมั่นตัดยอดที่จะแตกออกมาจากโคนกิ่งแขนงของลำต้นทิ้งทุกยอด และกิ่งแขนงที่ 1 จะให้ผลผลิตในระยะเวลา 2 ถึง 3 ปีก็จะแตกกิ่งแขนงที่ 2 (Secondary Branch) ส่วนกิ่งแขนงที่ 3 (Terriary Branch) และกิ่งแขนงที่ 4 (Quarternary Branch) ให้ผลผลิตช่วงระยะเวลา 1 ถึง 8 ปี
- เมื่อต้นกาแฟให้จำนวนผลผลิตลดลง จะต้องปล่อยให้มีการแตกยอดออกมาใหม่ 1 ยอดจากโคนของกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่สูงสุดหรือถัดลงมา และเมื่อยอดสูงไปถึงระดับ ความสูง 170 เซนติเมตร ตัดให้เหลือความสูงเพียง 150 เซนติเมตรโดยการตัดกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่สูงสุดให้เหลือเพียง 1 กิ่ง ซึ่งจะสามารถให้ผลผลิตต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 8 ถึง 10 ปี
- เมื่อต้นกาแฟมีความสูงถึง 69 เซนติเมตร ให้ทำการตัดยอดให้เหลือความสูงเพียง 53 เซนติเมตร หากเหนือพื้นดินมียอดแตกออกมาจากข้อโคนกิ่งแขนงที่ 1 จากคู่ที่อยู่บนสุด 2 ยอด จะต้องตัดกิ่งแขนงที่ 1 ทิ้งทั้ง 2 ข้าง
- ปล่อยให้ยอดทั้ง 2 ยอด เจริญเติบโตขึ้นไปทางด้านบน ในขณะเดียวกันกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่ต่ำกว่าความสูง 53 เซนติเมตร จะเริ่มให้ผลผลิต
- กิ่งแขนงที่ 1 ซึ่งอยู่ต่ำกว่าความสูง 53 เซนติเมตร จะถูกตัดทิ้งไปหลังจากที่ให้ผลผลิตแล้ว ในขณะเดียวกันกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่ระดับล่างๆ ของลำต้นทั้งสองก็เริ่มให้ผลผลิต
- ต้นกาแฟที่เจริญเติบโตเป็นลำต้นใหญ่ 2 ลำต้น จะสามารถให้ผลผลิตอีก จำนวน 2 ถึง 4 ปี และขณะเดียวกันก็จะเกิดหน่อขึ้นมาเป็นลำต้นใหม่อีกบริเวณโคนต้นกาแฟเดิม และควรปล่อยหน่อที่แตกใหม่ให้เจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ และตัดให้เหลือเพียง 3 ลำต้น
- ให้ตัดต้นกาแฟเก่าทั้ง 2 ต้นทิ้งและเลี้ยงหน่อใหม่ที่เจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ ซึ่งสามารถให้ผลผลิตได้อีก จำนวน 2 ถึง 4 ปี แล้วจึงทำการตัดต้นเก่าเพื่อให้แตกต้นใหม่อีก
การคลุมโคนต้นกาแฟ
การคลุมโคนต้นกาแฟมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะในช่วงที่สวนกาแฟต้องประสบกับภาวะแห้งแล้ง เป็นการช่วยไม่ให้ต้นกาแฟทรุดโทรมหรืออาจจะตายได้ เนื่องจากขาดความชื้นในอากาศและในดิน นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันวัชพืชที่จะงอกในแปลงกาแฟในขณะที่ทรงพุ่มกาแฟยังไม่ชิดกัน และยังเป็นการป้องกันการพังทลายของดินเมื่อเกิดฝนตกหนัก แต่มีข้อควรระวังในการคลุมโคนต้น คืออาจจะกลายเป็นแหล่งสะสมของโรคและแมลงศัตรูกาแฟ ดังนั้นการคลุมโคนต้นกาแฟควรจะคลุมโคนต้นให้ห่างจากต้นกาแฟประมาณ 10 ถึง 20 เซนติเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงศัตรูกาแฟกัดกะเทาะเปลือกกาแฟได้ หรือไม่ให้เกิดอันตรายกับโคนต้นกาแฟในระหว่างที่วัสดุคลุมโคนเกิดการย่อยสลายได้ โดยคลุมโคนต้นให้มีความกว้าง 1 เมตรและหนาไม่ต่ำกว่า 10 เซนติเมตร
การปราบวัชพืชและการใส่ปุ๋ย
ควรมีการปราบวัชพืชทุกครั้งก่อนการใส่ปุ๋ย โดยอาจจะใช้ยาปราบวัชพืชหรือการถากถางตามระยะเวลาและความเหมาะสม และการใส่ปุ๋ยก็เป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งของการปลูกกาแฟ จะต้องพิจารณาทั้งธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองว่าต้องเพียงพอกับต้นกาแฟ ซึ่งจะสังเกตลักษณะของใบได้ ซึ่งมีรายละเอียดมากมายเกินที่จะกล่าวในที่นี้ แต่สูตรปุ๋ยที่ใช้โดยทั่วไป มักจะเป็นสูตรที่มีการมีความนิยม คือ สูตร 15-15-15 หรือสูตร 16-16-16 เป็นต้น วิธีการใส่ปุ๋ยนั้นจะใส่โดยการโรยลงบนดินเป็นลักษณะวงกลมรอบทรงพุ่ม โดยใส่ปุ๋ยในปีที่ 1 ถึง 3 ส่วนต้นกาแฟที่ยังไม่ให้ผลผลิต ควรใส่ระยะเวลาประมาณ 2 ถึง 3 ครั้งต่อปี โดยใส่ครั้งละประมาณ 100 ถึง 300 กรัมต่อต้น และควรมีการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพิ่มด้วยเพื่อปรับสภาพทางกายภาพของดินควบคู่กันไปด้วย
การขยายพันธุ์ |
การขยายพันธุ์กาแฟที่ปลูกเพื่อวัตถุประสงค์ด้านเศรษฐกิจ ที่มีกระทำกันปัจจุบันคือการเพาะเมล็ด โดยมีวิธีการพอสังเขป คือการนำผลกาแฟที่สุกเต็มที่มาแกะเอาเมล็ดออก และให้นำเฉพาะเมล็ดที่สมบูรณ์เท่านั้นไปเพาะเพื่อขยายพันธุ์
การเพาะเมล็ด ทำได้โดยวิธีการนำเมล็ดที่ได้ล้างไว้สะอาดแล้ว มาเรียงในกระบะเพาะเมล็ดที่มีวัสดุปลูกที่สมบูรณ์ (วัสดุดินเพาะ) โดยปิดเมล็ดและให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ จนระยะเวลาประมาณ 50 ถึง 60 วันเมล็ดกาแฟก็จะเริ่มงอก มีขนาด 1 ถึง 2 คู่ใบ จากนั้นให้ถอนต้นออกและนำไปเพาะต่อในถุงพลาสติกที่ได้บรรจุดินไว้หรือนำไปเพาะในแปลงเพาะที่เตรียมดินไว้ โดยปลูกให้มีระยะ ประมาณ 30 X 100 เซนติเมตร และรดน้ำให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ จนอายุได้ประมาณ 1 ถึง 1 ปีครึ่ง (มีใบอย่างน้อย 7 คู่ใบ) ก็สามารถนำไปปลูกในแปลงได้
โรคกาแฟ |
ลักษณะอาการของโรค
โรคราสนิมสามารถเกิดกับใบกาแฟพันธุ์อาราบิก้าทั้งใบแก่และใบอ่อน ทั้งในระยะที่เป็นต้นกล้าในเรือนเพาะชำและต้นโตในแปลง ลักษณะอาการครั้งแรกจะเห็นเป็นจุดสีเหลืองเล็กๆ ขนาด 3 ถึง 4 มิลลิเมตรบริเวณด้านในของใบ และมักจะเกิดกับใบแก่ก่อน จุดสีเหลืองบนใบจะขยายโตขึ้นเรื่อยๆ สีของแผลจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีส้มหรือสีส้มแก่ เมื่ออายุมากขึ้นสีบนแผลจะมีผงสีส้ม ซึ่งเป็นยูรีโดสปอร์ของเชื้อรา บริเวณด้านบนของใบซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจุดที่เป็นโรค จากนั้นใบกาแฟพันธุ์อาราบิก้าจะร่วง ต้นโกร๋น และกิ่งจะแห้งในเวลาต่อมา ต้นที่เป็นโรครุนแรงใบจะร่วงเกือบหมดต้น
การป้องกันกำจัด
- ใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อราที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและกำจัดโรคราสนิมได้ เช่น บอร์โดซ์มิกซ์เจอร์ (Alkaline Bordeaux Mixture) 0.5 เปอร์เซ็นต์, คูปราวิท (Cupravit) 85 เปอร์เซ็นต์ W.P. ในอัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- ใช้พันธุ์กาแฟที่ต้านทานต่อโรคราสนิม ได้แก่ กาแฟอาราบิก้าพันธุ์คาติมอร์ CIFC 7960,
พันธุ์คาติมอร์ CIFC 7961, พันธุ์คาร์ติมอร์ CIFC 7962 และพันธุ์คาติมอร์ CIFC 7963
เชื้อราโรครากขาวสามารถเข้าไปทำลายรากของต้นกาแฟได้ทุกระยะของการเจริญเติบโต ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป โดยในระยะเริ่มแรกจะมองไม่เห็นลักษณะผิดปกติบริเวณส่วนที่อยู่เหนือพื้นดิน แต่เมื่อส่วนรากถูกทำลายเสียหายจนไม่สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารได้ จึงจะแสดงอาการใบเหลืองและใบร่วง สำหรับต้นเล็กที่เป็นโรค พุ่มใบทั้งหมดจะมีสีเหลืองผิดปกติ หากเป็นต้นใหญ่พุ่มใบบางส่วนจะดูเสมือนว่าแก่จัดและมีสีเหลือง ซึ่งจะแตกต่างกับสีเขียวเข้มของพุ่มใบของต้นที่สมบูรณ์อย่างเห็นได้ชัด
เชื้อสาเหตุ
เกิดจากเชื้อรา Rigidoporus lignosus (Klotzsch) imazeki
ลักษณะอาการของโรค
เมื่อระบบรากของต้นกาแฟถูกทำลายมากขึ้น จะแสดงอาการให้เห็นที่ทรงพุ่ม ซึ่งเป็นระยะที่รุนแรงและไม่สามารถรักษาได้ บริเวณรากที่ถูกเชื้อเข้าทำลายจะปรากฏกลุ่มเส้นใยสีขาวเจริญเติบโตและแตกสาขาปกคลุมและเกาะติดแน่นกับผิวราก เมื่อเส้นใยมีอายุมากขึ้นจะกลายเป็นเส้นกลมนูนสีเหลืองซีด เนื้อไม้ของรากที่เป็นโรคในระยะแรก จะมีลักษณะแข็งกระด้างและเป็นสีน้ำตาลซีด ในระยะรุนแรงจะกลายเป็นสีครีม หากอยู่ในที่ชื้นแฉะรากจะมีลักษระอ่อนนิ่ม ดอกก็จะมีลักษณะเป็นแผ่นครึ่งวงกลมแผ่นเดียวหรือซ้อนกันเป็นชั้นๆ ส่วนผิวด้านบนจะเป็นสีเหลืองส้ม โดยมีสีเข้มอ่อนเรียงสลับกันเป็นวง และผิวด้านล่างจะเป็นสีส้มแดงหรือสีน้ำตาล ส่วนขอบดอกเห็ดเป็นสีขาว
การป้องกันกำจัด
- ทำการขุดตอพืชเดิมให้มากที่สุดและขุดพืชที่เป็นโรคออก
- หลุมปลูกควรตากแดดระยะเวลา1ถึง2เดือน(เฉพาะหลุมที่เป็นโรค)
- อาจใช้สารเคมี Propiconazole หรือ Triabimenol
โรคนี้จะเกิดในระยะกล้าขณะอายุ 1 ถึง 3 เดือนในแปลงเพาะชำ สำหรับสาเหตุของการเกิดโรคและความรุนแรงของโรคอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ลักษณะของแปลงเพาะกล้าที่มีการระบายน้ำไม่สะดวก การเพาะเมล็ดซ้ำในแปลงเดิมติดต่อกันหลายครั้งโดยไม่เปลี่ยนวัสดุใหม่ หลังคาเรือนเพาะชำอาจจะทึบเกินไป ปริมาณของต้นกล้าที่งอกออกมาหนาแน่นเกินไป และประการสำคัญคือสภาพอากาศในช่วงที่ต้นกล้างอกมีความชื้นสูงสลับกับอากาศร้อน
เชื้อสาเหตุ
เกิดจากเชื้อรา Rhizoctonia solani
ลักษณะอาการของโรค
อาการของโรคเน่าคอดิน มีอยู่ 2 ระยะคือ
ระยะแรก การเน่าของเมล็ดก่อนงอกคัพภะ (Embryo) และเอนโดสเปิร์ม (Endosperm) จะถูกเชื้อราซึ่งอยู่ในดินเข้าทำลาย ทำให้เมล็ดเน่าและแตกออก
ระยะที่สอง การเน่าของเมล็ดหลังจากกล้ากาแฟงอกออกจากเมล็ด และโผล่ขึ้นมาเหนือดินแล้ว เชื้อราอาจเข้าทำลายบริเวณโคนต้นที่อยู่เหนือพื้นดินหรือระดับผิวดิน จะทำให้ต้นมีแผลสีน้ำตาลในระยะแรก ต่อมาจะเน่ากลายเป็นสีดำ และในที่สุดต้นกล้าจะเหี่ยวและตาย เชื้อรา R.solani สามารถเข้าไปทำลายต้นกล้ากาแฟได้ทุกระยะหลังจากงอกขึ้นมาเหนือดิน ตั้งแต่ระยะเป็นลักษณะของหัวไม้ขีดซึ่งใบเลี้ยงคู่ยังไม่หลุดออกจากเมล็ดกาแฟ และระยะที่เป็นปีกผีเสื้อ ซึ่งใบเลี้ยงคู่จะหลุดออกมาจากเมล็ดและเป็นปีกผีเสื้อ และในระยะที่กล้ากาแฟมีใบจริง 1 ถึง 2 คู่ หรือในกรณีที่ยังต้นกล้ายังอยู่ในแปลงและไม่ได้ย้ายลงถุง
การป้องกันกำจัด
- หน้าดิน (Top Soil) หรือวัสดุเพาะอื่นๆ ควรจะเป็นของใหม่ และไม่ควรนำของเก่ามาเพาะซ้ำ เพราะอาจจะมีเชื้อราสะสมอยู่ในวัสดุในปริมาณมากเกินไป
- ไม่ควรให้น้ำในแปลงเพาะมากเกินไปในแต่ละครั้ง เพราะอาจจะทำให้น้ำท่วมขังในแปลงได้ ระบบการระบายน้ำในแปลงควรจะดี
- การเพาะเมล็ดในแปลง ควรให้มีระยะห่างพอสมควรมิฉะนั้นเมื่อกล้างอกออกมาหนาแน่น จะต้องถอนทิ้งในภายหลัง
- ต้นกล้าที่เป็นโรคเน่าคอดิน ควรจะถอนทิ้งและเผาไฟ และหลังจากนั้นจึงควรพ่นสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น แมนโคแซบ (Mancozeb)
โรครากเน่าแห้ง จะทำความเสียหายร้ายแรงแก่กาแฟพันธุ์อาราบิก้ามากกว่ากาแฟพันธุ์โรบัสต้า จะทำให้ต้นกาแฟตายภายในเวลาอันสั้น โรคนี้จะรุนแรงในสภาพพื้นที่ที่มีอุณหภูมิแตกต่างกันมากระหว่าง อุณหภูมิสูงสุดและอุณหภูมิต่ำสุด และในสภาพที่มีอุณหภูมิของดินแตกต่างกันมากด้วยเช่นกัน ดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์แปลงกาแฟที่ปลูกกลางแจ้งและรากหรือโคนต้นที่อยู่ใต้ผิวดินจะเกิดแผล ทำให้เชื้อราสามารถเข้าทางแผลนั้น จากการตรวจสอบต้นกาแฟที่เป็นโรครากเน่า พบว่ามีต้นกาแฟจำนวนมากที่มีแผลที่เกิดจาก หนอนเจาะโคนต้นหรือควั่นโคนร่วมอยู่ด้วย
เชื้อสาเหตุ
เกิดจากเชื้อรา Fusarium spp.
ลักษณะอาการของโรค
ต้นกาแฟที่เป็นโรคจะมีใบสีเหลืองและเหี่ยว และในเวลาต่อมาใบจะร่วงและกิ่งที่อยู่เหนือดินแห้งตาย เมื่อถอนต้นกาแฟจากพื้นดิน ก็จะถอนขึ้นมาได้ง่ายมาก เพราะรากเน่าและแห้งตายไปแล้ว และเมื่อมีการปาดเปลือกของรากและโคนต้นกาแฟที่อยู่ใต้ดิน จะทำให้มีสีน้ำตาล สีน้ำตาลเทา และรากส่วนใหญ่จะแห้ง
การป้องกันและกำจัดโรค
- ถอนต้นกาแฟที่เป็นโรคเน่าแห้งเผาไฟ เพื่อทำลายแหล่งเพาะเชื้อ
- โรครากเน่าแห้งจะรุนแรงในสภาพการปลูกกาแฟกลางแจ้งนั้น ดังนั้น ควรปลูกไม้บังร่มให้กาแฟอาราบิก้าในแหล่งที่มีโรครากเน่าแห้งระบาด
- เอกสารต่างประเทศได้แนะนำให้ใส่ปูนขาวลงไปในดิน ในกรณีพบโรครากเน่าแห้งและทดสอบ pH ของดินพบว่าต่ำกว่า 5.5
โรคใบจุดตากบ เป็นโรคที่พบระบาดแพร่หลายทั่วไป ทั้งกับกาแฟอาราบิก้าและกาแฟโรบัสต้า ระบาดมากในระยะกล้าที่ปลูกในเรือนเพาะชำ ขาดการดูแลรักษาที่ถูกต้อง เมื่อนำกล้าที่เป็นโรคนี้ไปปลูกในแปลง หากขาดการบังร่มให้แก่ต้นปลูกใหม่ ในระยะแรก โรคใบจุดตากบก็จะทำความเสียหายกับใบรุนแรง จะพบใบที่เป็นโรคร่วง บ่อยครั้งที่พบต้นกาแฟ เป็นโรคใบจุดตากบภายใต้ร่มเงาที่ไม่เหมาะสม โรคนี้อาจพบได้ทุกฤดู แต่จะพบมากในฤดูแล้ง
เชื้อสาเหตุ
เกิดจากเชื้อรา Cercospora coffeicola
ลักษณะอาการของโรค
ใบกาแฟที่เป็นโรคจะมีลักษณะเป็นจุดกลมๆ ขนาด 3 ถึง 15 มิลลิเมตร จะมีสีน้ำตาลในระยะเริ่มแรก ต่อมาจุดนี้จะกลายเป็นสีเทาหรือสีเทาอ่อนไปจนถึงสีขาวบริเวณจุดกึ่งกลางของแผล ขอบแผลจะมีสีน้ำตาลแดง และจะล้อมรอบด้วยวงสีเหลือง ส่วนบริเวณตรงกลางของแผลจะมีสีเทาและเห็นจุดเล็กๆ สีดำกระจายอยู่ทั่วไป จุดเล็กๆ เหล่านี้คือกลุ่มของสปอร์และสปอร์ของเชื้อรา
เชื้อราชนิดนี้สามารถทำให้เกิดโรคกับผลกาแฟได้ โดยทำให้ผลกาแฟเน่าและมีสีดำ ในระยะรุนแรงกาแฟจะมีสีดำและเหี่ยวย่น และทำให้ผลร่วงก่อนสุกในบางครั้ง
การป้องกันกำจัด
- แปลงที่ปลูกกาแฟควรมีร่มเงาอย่างเพียงพอ และต้นกาแฟที่ปลูกใหม่ควรจะมีร่มเงาชั่วคราวอย่างเพียงพอ เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงของโรค
- การให้ปุ๋ยไนโตรเจนอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความรุนแรงของโรคในระยะต้นกล้าที่ปลูกในแปลงเพาะและแปลงปลูกได้
แมลงศัตรูกาแฟ |
เพลี้ยหอยสีเขียวเป็นศัตรูที่สำคัญที่สุดของกาแฟ ในกลุ่มแมลงปากดูดขนาดเล็กด้วยกัน (Gilletal, 1977) ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเข้าทำลายต้นกาแฟโดยการดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน ใบอ่อน และเป็นเหตุให้ยอดและใบหงิกงอผิดปกติ ใบร่วง ต้นกาแฟชะงักการเจริญเติบโต และหากเกิดการระบาดในขณะที่กาแฟกำลังติดผล จะทำให้ผลอ่อนของกาแฟมีขนาดเล็กลง เมล็ดลีบและผลร่วง ผลผลิตเล็กลง ต้นกาแฟจะทรุดโทรมเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้เพลี้ยหอยสีเขียวยังขับถ่ายน้ำหวาน (Honey Dew) ขึ้นคลุมผิวใบ เป็นผลให้พื้นที่ในการสังเคราะห์แสงลดลง และทำให้ต้นกาแฟชะงักการเจริญเติบโต
การป้องกันกำจัด
กระทำได้โดยการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงประเภทดูดซึม โดยใช้คาร์โบซัลแฟน (พอสซ์ 20 เปอร์เซ็นต์ EC) ใช้ในอัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
ควรจะกระทำในช่วงระยะที่หนอนยังเป็นตัวเต็มวัยก่อนผสมพันธุ์และวางไข่ รวมทั้งการทำลายไข่ หรือหนอนระยะแรกที่ฟักออกจากไข่ ก่อนที่จะเจาะเข้าไปในลำต้นหรือกิ่ง ซึ่งจะเป็นการป้องกันกำจัดที่ดีที่สุด และเมื่อพบการระบาดควรฉีดพ่นสารฆ่าแมลง เฟนิโตรไธออน (ซูมิไธออน 50 เปอร์เซ็นต์ EC) ในอัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ในระยะเวลาของช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม และเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม
หนอนจะทำลายพืชอาศัยอื่นๆ ในบริเวณรอบๆ สวนกาแฟดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยและการขยายพันธุ์ของหนอน จะต้องรักษาบริเวณให้สะอาดและหมั่นตรวจดูตามต้นและกิ่งกาแฟอยู่เสมอ หากพบรอยที่หนอนเจาะเข้าทำลายต้นกาแฟก็ให้ตัดกิ่ง และนำไปเผาไฟ เพื่อเป็นการลดการขยายพันธุ์ต่อไป ในพื้นที่ ที่พบการระบาดของหนอนสูง ก็ให้ใช้สารเคมีฆ่าแมลงเฟนิโตร ไธออน ในอัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร และนำไปทาด้วยแปรงทาสีบริเวณลำต้นกาแฟให้ทั่ว (หากใช้ฉีดพ่นให้ใช้ในอัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร) และในช่วงที่พบตัวหนอนเต็มวัยสูงในช่วงระยะเวลาเดือนเมษายน มิถุนายน และเดือนกันยายน ก็ให้กำจัด ต้นกาแฟที่ถูกหนอนเจาะลำต้นเข้าทำลายทันที เมื่อตรวจพบก็ให้ทำการตัดแล้วเผาทิ้ง นอกจากนี้ควรปลูกไม้บังร่ม จะเป็นการช่วยลดการเข้าทำลายของหนอนได้
วัชพืชของกาแฟ |
- ประเภทใบแคบ เช่น หญ้าตีนนก หญ้าตีนกา หญ้านกสีชมพู หญ้าปากควาย หญ้ากุศล และหญ้าขจรจบดอกเล็ก
- ประเภทใบกว้าง เช่น ผักบุ้งยาง แมงลักป่า กระดุมขน ผักโขม สาบแร้งสาบกา และสร้อยนกเขา
- ประเภทกก เช่น หนวดแมว กกขนาก กกทราย และหนวดปลาดุก
- ประเภทใบแคบ เช่น หญ้าคา หญ้าชันกาด หญ้าขน หญ้าเห็บ หญ้าขจรจบดอกเหลือง และหญ้าแพรก
- ประเภทใบกว้างเช่น สาบเสือ ผักปราบ มังเคร่ ขี้ไก่ย่าน และครอบจักรวาล
- ประเภทกก เช่น แห้วหมู และกกตุ้มหู
1. การใช้แรงงานและการใช้เครื่องจักรกลตัดวัชพืชระดับผิวดินการใช้แรงงานคนเหมาะสำหรับสภาพพื้นที่ไม่สามารถใช้เครื่องจักรกลได้สะดวก โดยเฉพาะการ
กำจัดวัชพืชโดยวิธีการตัดหรือถากวัชพืชรอบบริเวณโคนต้นในสวนกาแฟที่ปลูกใหม่ เพราะระยะเวลานี้ การใช้สารกำจัดวัชพืชจะเป็นอันตรายกับต้นกาแฟได้ง่าย และในฤดูแล้งการกำจัดวัชพืชด้วยวิธีการดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระทำเพื่อลดการแย่งน้ำในดินระหว่างวัชพืชและต้นกาแฟ และใช้วัชพืชดังกล่าวคลุมโคนต้นกาแฟ เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ
2. การปลูกพืชคลุมดิน
การปลูกพืชคลุมดินนอกจากจะช่วยควบคุมไม่ให้วัชพืชเจริญเติบโตแข่งกับต้นกาแฟแล้ว ยังเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน ซึ่งจะส่งผลให้ต้นกาแฟเจริญเติบโตและให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
3. การปลูกพืชแซม
สามารถกระทำได้ในพื้นที่ที่ค่อนข้างราบหรือมีความลาดเอียงในทิศทางเดียวกัน พืชแซมที่นิยมปลูกในสวนกาแฟปลูกใหม่ เช่น พืชผัก ถั่วต่างๆ หรือไม้ตัดดอก แต่หลังจากต้นกาแฟมีอายุมากขึ้น และให้ ผลผลิตแล้วคงจะไม่ใช่วิธีการนี้ได้เพราะทรงพุ่มกาแฟจะชิดกันมากขึ้น ทำให้ไม่มีพื้นที่ว่างพอที่จะปลูกพืชแซมได้
4. การใช้สารกำจัดวัชพืช
วิธีการนี้ใช้ได้ทั้งในสวนกาแฟขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยใช้ในอัตราที่ปรากฏในตารางข้างล่าง โดยการผสมน้ำสะอาด จำนวน 60 ถึง 80 ลิตรต่อไร่ แล้วใช้หัวพ่นรูปพัดพ่นให้ทั่วต้นวัชพืช แต่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ละอองสารปลิวไปสัมผัสใบและต้นกาแฟ
สารกำจัดวัชพืช
|
อัตราที่ใช้
(กรัมหรือ ซีซี/ไร่) |
กำหนดการใช้
|
ชนิดวัชพืชที่
ควบคุมได้ |
ชนิดวัชพืชที่
ควบคุมได้ |
พาคาควอท (27.6% AS) |
300 – 800
|
พ่นหลังวัชพืชงอกและอยู่ในระยะเจริญเติบโตสูง ไม่เกิน 15 เซนติเมตร | วัชพืชปีเดียว ใบแคบ และใบกว้าง | หลีกเลี่ยงสารกำจัดวัชพืชสัมผัสใบและต้นกาแฟที่มีสีเขียว |
กลูโฟซิเนทแอมโมเนียม (15 %SL) |
330 – 750
|
พ่นหลังวัชพืชงอกและอยู่ในระยะเจริญเติบโตและก่อนออกดอก | วัชพืชปีเดียวใช้อัตราต่ำ วัชพืชข้ามปี เช่น หญ้าคาใช้อัตราสูง | ระยะปลอดฝนประมาณ 4-6 เซนติเมตร |
ไกลโฟเลท (48%AS) |
330 – 750
|
พ่นหลังวัชพืชงอกและอยู่ในระยะเจริญเติบโตและก่อนออกดอก | วัชพืชปีเดียวใช้อัตราต่ำ วัชพืชข้ามปี เช่น หญ้าคาใช้อัตราสูง | ระยะปลอดฝนประมาณ 4-6 เซนติเมตร |
กลูโฟซิเนทแอมโมเนียม (15%S%L) +ไดยูรอน (80%WP) |
1,800 – 300
|
พ่นหลังวัชพืชงอกและอยู่ในระยะเจริญเติบโตสูงไม่เกิน 15 เซนติเมตร | วัชพืชปีเดียวใบแคบ และใบกว้าง ที่งอกจากเมล็ด | ไดยูรอนสามารถควบคุมการงอกของเมล็ดวัชพืชในดินได้ 1-2 เดือน |
การเก็บเกี่ยว |
การเก็บเกี่ยวผลผลิต
กาแฟจะออกดอกหลังจากผ่านการกระทบกับความแห้งแล้งและผ่านความชุ่มชื้นจากฝนหรือการให้น้ำแล้ว และจะพัฒนากลายเป็นผลจนสุก ซึ่งมีลักษณะสีแดงในเวลาต่อมา การเก็บเกี่ยวผลผลิตจะต้องเก็บเฉพาะผลผลิตที่สุกเท่านั้น ซึ่งจะประสบปัญหายุ่งยากพอสมควร เพราะกาแฟบางพันธุ์จะมีผลที่สุกไม่พร้อมกันในช่อเดียวกัน จึงต้องระมัดระวังเพราะผลกาแฟที่แก่ ไม่สุก เมื่อนำไปแปรรูปจะทำให้กาแฟที่ได้มีคุณภาพที่ไม่ดี ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการเก็บเกี่ยวเกษตรกรจึงมักใช้วัสดุที่เป็นแผ่น เช่น ตาข่ายตาถี่ปูใต้โคนต้นแล้วเก็บเฉพาะผลที่สุกร่วงหล่นลงมาบนตาข่ายแล้วค่อยรวบรวมเป็นต้นๆ ไป
โดยกาแฟจะเริ่มติดดอกออกผลหลังจากปลูกไปแล้วประมาณปีที่ 3 และผลกาแฟจะเริ่มสุกประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้นกาแฟ และสภาพของพื้นที่ปลูก ผลกาแฟในแต่ละช่อจะสุกไม่พร้อมกัน ในการเก็บผลกาแฟให้เลือกเก็บเฉพาะผลที่สุกแก่มีสีแดงเท่านั้น ไม่ควรเก็บผลกาแฟที่ยังอ่อนซึ่งมีสีเขียวหรือผลที่ไม่แก่จัดหรือใช้วิธีรูดทั้งกิ่ง เพราะจะทำให้ได้สารกาแฟคุณภาพต่ำสำหรับผลกาแฟที่เก็บได้มีควรมีการคัดแยกคุณภาพ โดยผลกาแฟที่แก่จัดเกินไปซึ่งมีสีแดงเข้ม หรือผลที่แห้งคาต้นผลที่ร่วง หรือหล่นตามพื้นควรเก็บแยกไว้ต่างหากจากผลกาแฟที่เก็บได้ในแต่ละครั้ง จากนั้นให้นำผลกาแฟทั้งหมดออกตากแดดโดยเร็วที่สุด
ผลกาแฟในแต่ละสภาพพื้นที่ปลูกไม่พร้อมกัน ดังนี้
- ระดับความสูง 700 ถึง 900 เมตร จากระดับน้ำทะเล อายุการเก็บเกี่ยว (ตั้งแต่ติดผล – ผลสุก) ประมาณ 6 เดือน
- ระดับความสูง 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล อายุการเก็บเกี่ยว (ตั้งแต่ติดผล – ผลสุก) ประมาณ 9 เดือน
ดัชนีการเก็บเกี่ยว
ควรเก็บผลที่สุก 90 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ คือเมื่อผลมีสีแดงเกือบทั้งผลหรือทั่วทั้งผล หรือผลมีสีเหลืองเกือบทั้งผลหรือทั่วทั้งผล (บางสายพันธุ์ผลสุกจะเป็นสีเหลือง)
การทดสอบผลสุกพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว สามารถทำได้โดยการเก็บผลกาแฟแล้วใช้นิ้วบีบผล หากผลสุกเปลือกจะแตกง่ายและเมล็ดกาแฟจะโผล่ออกมาจากเปลือก
การเก็บผลควรจะพิจารณาการสุกของผลของแต่ละกิ่งที่ให้ผลในแต่ละต้นว่ามีผลสุกมากกว่าร้อยละ 50 สำหรับการเก็บผลผลิตครั้งแรก ซึ่งปกติการเก็บผลกาแฟจะต้องใช้เวลาเก็บประมาณ 2 ถึง 4 ครั้ง
การผลิตสารกาแฟทำได้ 2 วิธี คือ วิธีสีสด (แบบแช่น้ำ) และวิธีสีแห้ง (แบบแห้ง)1. การสีสด
เป็นวิธีที่ใช้กันมากเพราะจะได้สารกาแฟที่มีควบคุมคุณภาพได้ แต่มีต้นทุนในการผลิตที่สูงกว่าวิธีการสีแห้ง วิธีการเริ่มจากการเก็บผลกาแฟสุกมาปอกเปลือกให้หมดภายในวันเดียวกัน หากปอกไม่ทันไม่ควรเก็บไว้เกิน 1 คืนเพราะการเก็บหมักไว้นานจะทำให้เมล็ดเสื่อมคุณภาพได้ เมื่อปลอกเปลือกเรียบร้อยแล้วให้นำเอาเมล็ดที่ได้มาแช่น้ำพอท่วมเมล็ด และแช่หมักไว้ 24 ชั่วโมง แล้วขยี้ล้างเมือกออกให้หมด หรือใช้เครื่องขัดเมือกก็จะเป็นการประหยัดเวลาไปได้มาก และเมื่อขัดเมือกหมดแล้วคงเหลือแต่เมล็ดที่มีเปลือกแข็งหุ้มให้นำออกผึ่งแดดให้แห้งสนิท โดยใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 7 วัน แต่ในปัจจุบันอาจจะใช้เครื่องอบเมล็ดให้แห้งภายใน 24 ถึง 28 ชั่วโมง แล้วจึงนำมาเข้าเครื่องกะเทาะเปลือก และปัดฝุ่นผงออกให้หมด คัดเฉพาะเมล็ดแตก เมล็ดดำ หรือกาแฟที่มีเปลือกหุ้มอยู่ออกให้หมด ก็จะได้สารกาแฟตามที่ต้องการ
2. การสีแห้ง
เป็นวิธีที่นิยมทำกันมากในกาแฟพันธุ์โรบัสต้า เนื่องจากมีความสะดวก ลงทุนน้อย แต่จะควบคุมคุณภาพได้ยาก วิธีนี้เริ่มจากการเก็บกาแฟที่ผลสุกแล้ว จากนั้นนำมาตากให้แห้งสนิทบนลานคอนกรีต ซึ่งทดสอบได้จากการเขย่าให้รู้สึกว่าเมล็ดในกาแฟคลอนได้ แล้วจึงนำเข้าเครื่องสีเพื่อเอาเปลือกออกให้หมด และฝัดร่อนเอาเมล็ดที่เสียออก การสีแห้งนี้ไม่สามารถควบคุมการหักตัวของเมล็ดกาแฟได้ และหากไม่มีแสงแดดเพียงพอติดต่อกันหลายวัน หรือผลกาแฟที่ตากบนลานคอนกรีตไม่ได้กระจายผลให้รับแสงแดดอย่างทั่วถึง จะทำให้เชื้อราสามารถเจริญเติบโต
การผลิตสารกาแฟให้ได้คุณภาพดีโดยวิธีสีแห้ง จะต้องปฏิบัติดังนี้
1. พยายามเก็บเฉพาะผลกาแฟที่สุกสีแดงเท่านั้น
2. แยกเอาผลที่มีตำหนิ ผลที่ยังไม่แก่ ผลที่แห้งคาต้น หรือผลที่ร่วงลงบนพื้นออกไปตากและแยก ไม่นำมาปะปนกันผลผลิตที่มีคุณภาพ
3. รักษาความสะอาดภาชนะ ลานตากเมล็ดและอุปกรณ์ต่างๆ
4. ผลกาแฟที่เก็บมาแต่ละวันต้องรีบนำมาผึ่งแดดทันที
5. พยายามกลับกองกาแฟที่ตากบนลานตากจำนวนหลายๆ ครั้ง ในแต่ละวันและทุกๆ วัน
6. ในช่วงเย็นและช่วงวันที่ฝนตก จะต้องนำผลกาแฟที่ตากไว้มากองรวมกันและใช้ผ้าใบคลุม รอจนลานตากแห้งแล้วจึงเกลี่ยผลกาแฟมาตากอีกครั้งหนึ่ง
7. หลังจากสีกะเทาะเปลือกออกแล้ว จะต้องฝัดเอาฝุ่นผงออกให้หมด และคัดเอาเมล็ดแตก เมล็ดดำ หรือเมล็ดที่มีเปลือกหุ้มอยู่ออกให้หมด
8. กาแฟที่จะเก็บบรรจุลงในกระสอบจะต้องเป็นกาแฟที่แห้งสนิทเท่านั้น
9. กระสอบที่ใช้บรรจุเมล็ดกาแฟ ควรเป็นกระสอบใหม่หรือกระสอบที่ผ่านการทำความสะอาดและตากแห้งดีแล้วและปราศจากกลิ่นอื่นใด รวมทั้งไม่ควรวางกระสอบบรรจุเมล็ดกาแฟบนพื้นโดยตรง ควรจะมีหมอนไม้รองไว้อีกชั้นและควรเก็บไว้ในโรงเรือนที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
พื้นที่การปลูกกาแฟในภาคใต้ |
ปี
|
พื้นที่ปลูก
(ไร่) |
พื้นที่ให้ผล
(ไร่) |
ผลผลิต
(ตัน) |
ผลผลิต
ต่อไร่ (กก.) |
ราคาที่เกษตรกร
ขายได้ (บาท/กก.) |
มูลค่าของผลผลิตตาม
ราคาที่เกษตรกรขายได้ (ล้านบาท) |
2543
|
478,207
|
421,789
|
81,057
|
192
|
24.18
|
1,960
|
2544
|
488,754
|
432,314
|
86,009
|
199
|
31.24
|
2,687
|
2545
|
487,533
|
439,308
|
53,447
|
122
|
27.25
|
1,456
|
2546
|
476,426
|
440,291
|
53,907
|
122
|
31.82
|
1,715
|
2547
|
464,841
|
443,322
|
61,765
|
139
|
27.64
|
1,707
|
2548
|
447,749
|
434,569
|
59,644
|
137
|
28.75
|
1,715
|
2549
|
441,160
|
429,878
|
46,873
|
109
|
36.49
|
1,710
|
2550
|
436,847
|
424,632
|
55,660
|
131
|
45.57
|
2,536
|
2551
|
403,449
|
388,662
|
50,442
|
130
|
59.81
|
3,017
|
2552
|
381,224
|
365,337
|
56,315
|
154
|
61.79
|
3,480
|
จังหวัด
|
พื้นที่ปลูก
(ไร่) |
พื้นที่ให้ผล
(ไร่) |
ผลผลิตรวม
(ตัน) |
ผลผลิตเฉลี่ย
(กก./ไร่) |
กระบี่
|
16,557
|
16,316
|
2,023
|
124
|
ชุมพร
|
243,760
|
243,071
|
27,710
|
114
|
นครศรีธรรมราช
|
6,835
|
6,777
|
596
|
88
|
ระนอง
|
94,476
|
93,793
|
9,567
|
102
|
สุราษฎร์ธานี
|
47,521
|
47,521
|
4,039
|
85
|
พังงา
|
1,470
|
1,470
|
122
|
83
|
รวม
|
410,619
|
408,948
|
44,057
|
107
|