ปัจจุบัน รถยนต์ในตลาดเมืองไทยส่วนใหญ่มักใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติหรือที่เรียกติดปากกันว่าเกียร์ออโต้ ซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่เพราะระบบจะเปลี่ยนเกียร์ให้อัตโนมัติ โดยมีตำแหน่งของเกียร์ในการขับเคลื่อนรถยนต์ดังนี้..
หลัก ๆ จะมี
P ,R ,N ,D ,2 ,L (เกียร์ 1)
บางรุ่นอาจมี D3 ด้วย
P – จอดแบบเข็นไม่ได้
R – ถอยหลัง
N – เกียร์ว่าง เข็นได้
D – เดินหน้า
2 – เดินหน้าเหมือนกัน แต่จำกัดเกียร์สูงสุดไว้ที่ 2
L – เดินหน้า แต่จำกัดเกียร์ไว้ที่ 1
- ตำแหน่ง P ใช้สำหรับจอดรถในตำแหน่งที่ไม่กีดขวางรถคันอื่นหรือจอดในบริเวณที่ลาดชัน
- ตำแหน่ง R ใช้ในการถอยหลัง เป็นตำแหน่งที่อันตรายมากที่สุด ให้เหยียบเบรกทุกครั้งที่เข้าเกียร์ เพื่อให้รถถอยหลังอย่างช้า ๆ
- ตำแหน่ง N เป็นตำแหน่งเกียร์ว่าง ใช้ในการหยุดรถชั่วคราวหรือจอดรถในตำแหน่งที่กีดขวางเส้นทางจราจร
- ตำแหน่ง D ใช้ในการขับขี่เพื่อเดินหน้ารถตามปกติ
- ตำแหน่ง 2 ใช้สำหรับการขับขี่ขึ้นทางลาดชันที่ไม่สูงมากนัก และสามารถใช้ความเร็วได้พอสมควร
- ตำแหน่ง L ใช้สำหรับการขับขี่ขึ้นทางลาดชันที่สูงมาก และต้องใช้ความเร็วต่ำ
หรืออธิบายอย่างละเอียดคือ..
●P-PARK ใช้สำหรับการจอดนิ่ง ควบคุมไม่ให้รถยนต์ไหล ต้องเข้าเกียร์นี้เมื่อหยุดสนิท และเหยียบเบรกหรือดึงเบรกมือไว้แล้วเท่านั้น เพราะต้องเลื่อนผ่านเกียร์ถอยหลังก่อน หากไม่เหยียบเบรกไว้ รถยนต์อาจกระตุกถอยไปชนอะไรได้
เมื่อเข้าเกียร์ในตำแหน่งนี้ รถยนต์จะไม่สามารถขยับได้ เพราะมีสลักล๊อกในเรือนเกียร์ และต้องระวัง เพราะหากมีอะไรมากระแทกรถยนต์ภายหลังการเข้าเกียร์นี้ จะทำให้สลักล๊อกหักได้ ถ้าไม่แน่ใจให้ใช้วิธีเข้าเกียร์ว่าง และดึงเบรกมือแทนหากจอดรถขวางรถยนต์คันอื่น ไม่ควรเข้าเกียร์ P ไว้ เพราะเป็นการเสียมารยาท อาจทำให้ถูกกรีดหรือขูดสีรถยนต์ได้
●R-REVERSE เกียร์ถอยหลัง ควรเข้าเกียร์เมื่อจอดสนิทเท่านั้น และต้องเหยียบเบรกไว้ทุกครั้ง จากนั้นค่อย ๆ ปล่อยเท้าจากเบรกมาเหยียบคันเร่ง ไม่ควรเข้าเกียร์ถอยหลังขณะที่รถยนต์ยังไหลไปข้างหน้าเด็ดขาด เพราะเกียร์อาจพังได้
●N-NEUTRAL เกียร์ว่าง ไม่มีการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ เมื่อจอดแล้วสามารถเข็นได้ เหมาะสำหรับการจอดซ้อนคันหรือจอดในที่สาธารณะ **ข้อควรระวัง ห้ามใช้เกียร์อยู่ในตำแหน่งนี้จอดในที่ลาดชัน รถจะไหลเป็นอันตรายได้
●D-DRIVE เกียร์เดินหน้า ต้องเข้าเกียร์นี้เมื่อรถยนต์หยุดสนิทแล้ว และเหยียบเบรกไว้ทุกครั้ง จากนั้นค่อย ๆ ปล่อยเท้าจากเบรกมาเหยียบคันเร่งเมื่อใช้เกียร์ในตำแหน่งนี้ ระบบควบคุมจะเลือกเปลี่ยนจังหวะเกียร์ขึ้น-ลงตามความเหมาะสม โดยผู้ขับไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์เองนอกจากนั้น ยังอาจมีเกียร์ในตำแหน่งอื่น เช่น 2, L2, 1, L1 ถัดมาจากตำแหน่ง D มีไว้ใช้สำหรับลากรอบสูง ๆ เพื่อความจัดจ้านในอัตราเร่ง ใช้ในการขึ้น-ลงทางลาดชัน หรือการลดเกียร์ต่ำใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก คล้ายกับระบบเกียร์ธรรมดา โดยก่อนเข้าเกียร์ต่ำกว่าตำแหน่ง D ต้องแน่ใจว่าความเร็ว และรอบเครื่องยนต์ไม่เกินขีดสูงสุดของแต่ละเกียร์ คล้ายกับเกียร์ธรรมดา
การใช้เกียร์อัตโนมัติควรศึกษาความเร็วสูงสุดของแต่ละเกียร์ไว้ด้วย โดยเริ่มจากเกียร์ต่ำสุดซึ่งมักจะเป็นเกียร์ L หรือเกียร์ 1 กดคันเร่งไล่รอบขึ้นไป ดูว่าเกียร์ 1 ทำความเร็วสูงสุดได้เท่าไร จากนั้นผลักคันเกียร์ไล่ขึ้นไปเป็นเกียร์ 2, 3 และ 4 เพื่อให้ผู้ขับเปลี่ยนเกียร์เองได้ คล้ายกับเกียร์ธรรมดาในบางกรณี โดยไม่เกิดความเสียหาย เพราะรถยนต์แต่ละรุ่นมีความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์ไม่เท่ากัน2 หรือ L2 หมายถึง มีเกียร์ 1 และ 2 ให้ใช้ โดยระบบจะสลับขึ้นลงให้เอง 1 หรือ L1 หมายถึงมีเกียร์ 1 ให้ใช้เท่านั้น
D2 D3 นี่หมายถึงสามารถเปลี่ยนอัตโนมัติโดยเครื่อง
เช่นD2 ก็สามารถเปลี่ยนไปมาโดยเครื่องที่เกียร์ 1 กับเกียร์ 2 เท่านั้น
D3 ก็สามรถเปลี่ยนไปมาโดยเครื่องที่เกียร์ 1 เกียร์ 2 และ เกียร์ 3 เท่านั้น
แต่ ถ้าเป็น 1,2,L1,L2 หมายถึง ล๊อคที่เกียร์นั้นเกียร์เดียวไม่เปลี่ยนไปเกียร์อื่น นอกจากเราจะเปลี่ยนเอง
●โอเวอร์ไดร์ฟ คือ เกียร์ที่มีอัตราทดต่ำ เพื่อให้เครื่องยนต์หมุนรอบต่ำลงโดยความเร็วไม่ลดลง และให้ความประหยัดเมื่อใช้ความเร็วคงที่ และต่อเนื่องโอเวอร์ไดร์ฟ แบ่งเป็น 2 ระบบ คือ แยกจากเกียร์ D ออกมาเป็นสวิตซ์เปิด-ปิด (OVERDRIVE ON/OFF) ใกล้กับหัวเกียร์ และอีกแบบ คือ รวมอยู่ในตำแหน่ง D เช่น เกียร์อัตโนมัติมีทั้งหมด 4 จังหวะ โอเวอร์ไดร์ฟแบบแยก ถ้าปิดสวิตซ์โอเวอร์ไดร์ฟจะมีเกียร์ให้ใช้งาน 3 จังหวะ เมื่อเปิดโอเวอร์ไดร์ฟจะมีเกียร์ให้ใช้ครบ 4 จังหวะ หากเป็นโอเวอร์ไดร์ฟแบบรวม ถ้าเข้าเกียร์ D จะมีเกียร์ให้ใช้งานครบ 4 จังหวะ ถ้าไม่อยากใช้โอเวอร์ไดร์ฟ ก็เลื่อนคันเกียร์มาที่ 3
ก่อนใช้งาน ควรศึกษาการล๊อกตำแหน่งต่าง ๆ ของแต่ละเกียร์ว่า มีการควบคุมด้วยปุ่มบนหัวเกียร์อย่างไร เช่น การเลื่อนคันเกียร์สลับไปมาระหว่าง N กับ D มักไม่ต้องกดปุ่ม เป็นการออกแบบเพื่อความสะดวก หากกดปุ่ม นอกจากเปล่าประโยชน์แล้ว ยังอาจเลื่อนเลยมาทางเกียร์ต่ำกว่าได้ หรือในการปลดเป็นเกียร์ว่าง อาจผลักเลยไปยังเกียร์ถอยหลังได้
รถยนต์บางรุ่น สามารถดึงคันเกียร์ลงมาสุดที่ตำแหน่ง D2 หรือ 2 โดยไม่ต้องกดปุ่ม ถ้าผลักไปข้างหน้าจะสุดที่ N ดังนั้นไม่ควรกดปุ่ม เพราะถ้าผลักดันเกียร์เลยขึ้นไปก็จะสุดที่เกียร์ว่าง เท่านั้น ไม่มีทางเลยไปถึงเกียร์ถอยหลังได้
-ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ต้องอยู่ในตำแหน่ง P หรือ N เท่านั้น ถ้าอยู่ในตำแหน่งอื่นจะสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติดการเข้าเกียร์ P แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ สามารถทำได้ แต่ถ้าต้องการเดินหน้าก็ต้องเลื่อนคันเกียร์ไปที่ D ซึ่งต้องผ่านเกียร์ R ก่อน ดังนั้น ก่อนสตาร์ท ควรเลื่อนคันเกียร์ไปที่ N ดึงเบรกมือให้สุด แล้วจึงสตาร์เครื่องยนต์ จากนั้นจึงเข้าเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลังตามปกติ
-การออกตัว เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้ว ควรรอประมาณ 1-2 นาที เพื่อให้น้ำมันเกียร์ไหลเวียนเต็มที่ จากนั้นให้เหยียบเบรกจนสุด เลื่อนคันเกียร์ไปที่ D แล้วรอประมาณ 1-2 วินาที เพื่อให้คลัตช์จับตัวเต็มที่ จากนั้นจึงปล่อยเบรก และเหยียบคันเร่ง
-การใช้งาน เมื่อเข้าเกียร์ D ในการใช้งาน ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์เอง ในการเปลี่ยนมาสู่เกียร์ขับเคลื่อนทั้งเดินหน้าและถอยหลัง ควรให้รถยนต์จอดสนิท และเหยียบเบรกควบคู่กัน เพื่ออายุการใช้งานของเกียร์ การขับแบบเคลื่อนที่ตามกันไปช้า ๆ อาจดึงคันเกียร์ลงมาที่ 2 หรือ 1 เพื่อให้เกียร์หน่วงความเร็วของรถยนต์ ทำให้ไม่ต้องแตะเบรกบ่อย ๆ ลดความเมื่อยล้า และป้องกันไฟเบรกไปสร้างความรำคาญให้ผู้ขับด้านหลัง
-การเร่งแซง มี 2 วิธี คือ กดคันเร่งจนสุด KICK DOWN เกียร์จะเปลี่ยนลงให้ 1-2 จังหวะ ขึ้นอยู่กับความเร็วขณะนั้น และน้ำหนักในการกดคันเร่ง อีกวิธีเมื่อความเร็วไต่ไปถึงเกียร์สูงสุด คือ ปิดสวิตซ์โอเวอร์ไดร์ฟ เกียร์จะเปลี่ยนจากเกียร์ 4 เป็นเกียร์ 3
-การขั้น-ลงทางลาดชัน ทางขึ้น ให้กดคันเร่ง KICK DOWN ก่อนว่าไปไหวหรือไม่ หากกำลังไม่พอให้ลดเกียร์ลงมา 1 จังหวะ แล้วค่อยกดคันเร่งหนัก ๆ ไม่จำเป็นต้องลดลงมาเกียร์ต่ำที่สุดในทันที เพราะยังขึ้นอยู่กับความลาดชันทางลง ควรเบรกให้หยุดนิ่งแล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำสุดแล้วค่อยออกตัว หากขับแล้วช้าเกินไปหรือทางไม่ชันมาก ค่อยเลื่อนขึ้นสู่เกียร์สูงครั้งละ 1 จังหวะการเข้าเกียร์ D แล้วปล่อยไหล เกียร์จะเลือกเปลี่ยนขึ้นสู่เกียร์สูงเอง ความเร็วจะเพิ่มขึ้น เบรกทำงานหนัก จึงไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง
-การถอยหลัง ควรเหยียบแป้นเบรกก่อนเลื่อนคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง R รอจนคลัตช์จับตัวให้สนิท ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 วินาที แล้วจึงค่อยปล่อยเบรกพร้อมกับแตะคันเร่งเบา ๆ เพื่อถอยหลัง
-การเบรกและจอด ในการเบรก อย่าปลดไปที่เกียร์ว่าง N ในขณะที่รถยนต์ยังไม่หยุดสนิท เพราะจะทำให้เกิดแรงเฉื่อยของตัวรถยนต์มากขึ้น เบรกทำงานหนัก และระยะเบรกอาจยาวขึ้น รวมถึงอาจเกิดความเสียหายกับชุดเกียร์
-เมื่อจอดติดไฟแดงควรประเมินสถานการณ์ก่อน ถ้าติดไม่นานให้เหยียบเบรกค้างไว้
ถ้ากังวลว่าไฟเบรกจะสร้างความรำคาญให้ผู้ขับคันหลัง โดยเฉพาะเวลากลางคืน อาจใช้วิธีดังเบรกมือแทนการเหยียบเบรก หากติดนานเกิน 5-10 นาที อาจปลดเป็นเกียร์ว่าง เพราะการจอดโดยเหยียบเบรกค้างไว้ และเกียร์อยู่ในจังหวะขับเคลื่อนเป็นเวลานานเกินไป ทำให้เครื่องยนต์มีภาระ และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงขึ้นโดยไม่จำเป็น
ไม่ควรเข้าเกียร์ P เพราะต้องเลื่อนคันเกียร์ผ่านเกียร์ถอยหลัง จนเกิดความสับสนต่อผู้ขับรถยนต์ และหากถูกชน สลักเกียร์อาจหักได้ แม้ค่าซ่อมไม่แพง แต่ยุ่งยาก เพราะต้องรื้อเกียร์เพื่อเปลี่ยนสลัก เมื่อจะต้องออกตัวครั้งต่อไปก็ต้องเลื่อนคันเกียร์จา ก P ผ่าน R และ N มายัง D ทำให้ขาดความฉับไวในการออกตัว
-การโยกรถยนต์เมื่อตกหล่ม ควรเหยียบเบรก พร้อมดันคันเกียร์มาที่จังหวะต่ำสุดของเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งบางรุ่นแตกต่างกัน อาจจะเป็นเกียร์ L1 หรือเกียร์ L2 ที่รวมจังหวะ 1-2 ไว้ด้วยกัน
ขณะโยกรถยนต์เพื่อให้รถยนต์ที่ตกหล่มสามารถขึ้นมาได้ ต้องมั่นใจว่าทางข้างหน้าไม่มีสิ่งกีดขวางหรือคน เพราะขณะที่เหยียบคันเร่งส่ง รถยนต์อาจจะพุ่งไปข้างหน้าได้
-การลากรถ สามารถทำได้ แต่ไม่ควรลากระยะทางยาวหรือใช้ความเร็วสูง เพราะเมื่อเครื่องยนต์ไม่ทำงาน ปั๊มน้ำมันเกียร์ และระบบเกียร์จะไม่ทำงาน น้ำมันเกียร์ไม่มีการหมุนเวียน ไม่มีการระบายความร้อนตามปกติ เมื่อลากนาน ๆ น้ำมันเกียร์จะร้อนและทำให้เกียร์เสียหายการลากรถยนต์เกียร์อัตโนมัติที่ถูกต้อง ควรใช้ความเร็วไม่เกิน 30-40 กิโลเมตร/ชั่วโมง และไม่ควรลากไกลเกิน 40-50 กิโลเมตร (สามารถดูได้จากคู่มือประจำรถยนต์แต่ละคัน) ถ้าจำเป็นต้องลากไกลมาก ๆ ควรจอดพักเป็นระยะเพื่อให้น้ำมันเกียร์คลายความร้อน หรือถอดเพลาขับเคลื่อนที่ต่อเนื่องไปยังชุดเกียร์ออก ถ้าไม่สะดวกต้องยกล้อขับเคลื่อนขึ้น
ข้อควรปฏิบัติในการใช้รถเกียร์ออโต้
หลังทำความรู้จักกับตำแหน่งเกียร์แล้วยังมีเกร็ดน่ารู้ต่างๆ ในการขับรถเกียร์อัตโนมัติให้ปลอดภัยอีกไม่ว่าจะเป็น…
- ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ควรตรวจสอบให้เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P และสตาร์ทเครื่องยนต์ในขณะที่เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P เท่านั้น เพราะหากคันเกียร์คร่อมอยู่ในตำแหน่ง P – R แรงสั่นสะเทือนจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ อาจทำให้เกียร์ดีดไปเข้าเกียร์ R ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
- ในการขับรถลงทางลาดชัน ต้องใช้เกียร์ตำแหน่ง “D3” แต่กรณีที่ทางลงนั้นชันมาก ๆ ให้เลื่อนเกียร์ไปที่ตำแหน่ง “2” เพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก (Engine Brake) ในขณะเดียวกันคุณควรเหยียบเบรกไปด้วย หรืออาจใช้เบรกมือ เพื่อช่วยในการหยุดรถที่ดียิ่งขึ้น
- ห้ามใช้เกียร์ “N” หรือ “D4” ในการขับรถลงทางชันมากๆ เพราะกำลังเครื่องยนต์ไม่พอ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
- การจอดรถแล้วไม่ดับเครื่องยนต์ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น จอดรถเพื่อไปลงเปิดประตูบ้านหรือไปซื้อของริมถนน ไม่ควรใช้ตำแหน่ง N แต่ควรใช้ตำแหน่ง P และใส่เบรคมือทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้รถพุ่งไปข้างหน้า
- หากต้องการเปลี่ยนเกียร์ไปตำแหน่งอื่น เช่น จากตำแหน่ง N ไป D หรือ R ต้องทำในขณะที่รถยนต์จอดสนิท และควรเหยียบเบรกป้องกันกันรถเคลื่อน
- หากหยุดในชั่วแค่ 2-3 นาที ก็ควรอยู่ที่ตำแหน่ง D โดยแตะเบรกแทน แต่หากหยุดนานเกินกว่านี้ค่อยเปลี่ยนเป็น N และต้องการป้องกันรถไหลก็ใส่เบรคเบรกมือด้วย
- เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุกๆ 6 เดือนหรือปีละ 2 ครั้ง จะช่วยยืดอายุการทำงานของระบบเกียร์ได้เพราะสภาพอากาศที่ร้อนจัดและการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ ทำให้รถยนต์ต้องวิ่งๆ หยุดๆ แรงดันน้ำมันสูง-ต่ำไม่คงที่ในระบบเกียร์สูงจากอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูง
ขอบคุณ http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2007/06/V5496992/V5496992.html
http://www.directasia.co.th/blog/did-you-know/automatic-transmission-car-usage/
https://pantip.com/topic/30659088
https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%84%E0%B8%B3%E..