http://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php/topic,98848
เทคนิคการจับพลังงานพระ(ขอชมบารมี) แบบง่ายๆ
การจับพลัง หรือการเช็คพลัง หรือขอชมบารมี ตามแล้วแต่จะเรียกกัน เท่าที่เห็นมีอยู่ หลายวิธีมาก ส่วนใหญ่ ๆที่เห็นจะมีอุปปาทานเสียเป็นส่วนใหญ่ มีใจไม่เป็นกลาง ถือว่านี้พระกรูจึงแรง พระคนอื่นไม่แรง พระนี้ของครูกรูแรง ครูคนอื่นไม่แรง เช่น วัดคืบสั้น-ยาว อันนี้ก็เห็นทำได้กันเกลือบทุกคนที่รู้วิธี แต่สามารถบอกได้อย่างเดียวว่ามีพลังงานใหม จะแยกย่อย ว่าดีทางใด ไม่ได้ เช่น ไม่สามารถบอกว่า คงกะพัน หรือเมตตา และอื่นๆได้เลย ลูกดิ่งหรือเพนดูลั่ม Pendulum อันนี้ ปัจจุบัน มีคนเช็คพลังงานพระ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ กันแล้ว การจับพลังแบบตัวสั่น มือพุ่ง จับแล้วสั่นตัวปั๊ปๆ อันนี้ จับซัก 2องค์ คงหมดเรี่ยวหมดแรงไปก่อน จับพลังแบบเรียกวิธีเรียกน้ำมันเข้าตัว นำพระมาใส่ ในมือทำมือแบบ ขนมจีบ แล้วขอชมบารมี นิ้วใหน เขม่นหรือกระตุก ก็บอกไปตามความหมายของนิ้วๆนั้นๆเช่น นิ้วโป้งกระดิก หมายถึง อำนาจ การเข้าหาผู้ใหญ่ นิ้วนางกระดิกหมายถึง เสน่ห์เมตตา อะไรประมาณนี้ ..
ถ้า ออกเป็นแบบวิทยาศาสตร์หน่อยก็จะมาดูเรื่องของออร่า เดี๋ยวนี้ก็มีกล้องออร่าในการถ่ายพลังงาน มานานแล้ว เป็นกล้องชนิดพิเศษคล้ายๆโพลารอย ถ่ายปุ๊ป รอซักพักก็ดูได้เลย เมื่อก่อน ถ่ายทีเสียเป็นหมื่น เดี๋ยวนี้ เหลือประมาณ 500 แล้วมั้ง มันจะมีสีของออร่า รอบๆวัตถุหรือพระเครื่อง คล้ายๆสเป็กตั้ม คือมีสี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เช่น สีแดงหมายถึงคงกระพันชาตี สีชมพู หมายถึงเสน่ห์ เมตตา กล้องออร่า นอกจากจะถ่ายออร่าพระแล้ว ก็สามารถถ่ายออร่าของคนได้อีกด้วย แต่ถามว่าถ้าไม่มีกล้องเราฝึกดูออร่าได้เองใหม ได้น่ะ
การฝึกมอง ก็คล้ายๆการฝึกมอง ภาพสามมิติ ไดโนเสา แบบตอนเด็ก ตอนเรียนมัธยมน่ะ ทำตามเบลอ ถ้าจะเริ่มฝึก ก็ลองหัดมองออร่าที่ฝ่ามือเราก่อนเลยเป็นอันดับแรก เอาฉากหลังเป็นกระดาษ A4
อย่างออร่าของผู้บรรลุธรรมเนี่ย ส่วนใหญ่จะออกเป็นสีขาวๆ พวกที่ได้ฌานสมาธิจิตเนี่ย ออกสีทองๆ พวกทำสมาธิจิต(สมถะ) ก็จะออกเป็นสีม่วงๆ คนมักโกรธ ก็จะออกเป็นสีแดงๆ แต่ออร่าของผู้ที่ออกเป็น 7 สี หรือสายรุ้งยังไม่เคยเห็น (ฉัพพรรณรังสี)
ถ้าพูดถึงตัววิชากัน ที่ใช้เช็คพลังงานได้ ก็จะมีที่เห็นชัดๆอยู่ 2 สายใหญ่ คือ ..
1.มโน มยิทธิ สายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แค่ครึ่งกำลัง ไม่ต้องเต็มกำลังก็เช็คได้แล้ว สายจับพลังสายนี้น่าทึ่งมาก ไม่ต้องแตะต้องจับก็รู้แล้วว่าดีไม่ดีทางใหน มีพลังไม่มีพลัง แม้แต่เช็คกันผ่านโทรศัพท์มือถือโดยไม่ต้องเห็นของก็รู้แล้วว่าดีไม่ดี
2.วิชาธรรม กาย (การเข้าศูนย์กลางกายฐานที่ 7) หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ สายนี้ไม่นิยมเล่นฤทธิ์หรือพระหรือเครื่องรางของขลัง ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้ธรรมกาย มักไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ถามว่าเช็คได้ใหม ต้องตอบว่าได้ แล้วดีมากด้วย
ส่วนการท่องคาคาใดๆก็ตามตอนเช็คพลัง ถ้าท่องคาถาตอนเช็คพลังงาน มันจะเป็นการปลุกพระมากกว่า ที่จะเช็คพลังงาน มันจะเป็นการ เช็คพลังงานในตัวเราเอง แทนที่จะไปเช็คพลังงานพระ ดังนั้นอย่างมากที่สุด เราจึงควรใช้คำว่า ขอชมบารมี เพียงเท่านี้ก็พอ หรือจะไม่ใช่ก็ได้ อันนี้ลองคิดดูดีๆอย่างไม่มีอคติ ว่ามันเป็นเช่นไร
โม้มายืดยาว.. เข้าเรื่องที่จะนำเสนอดีกว่า คือ การจับ พลังพระแบบชี่กง คือพระนำมือเราวิ่งไป ใช้มือข้างซ้ายจับพระไว้เบาๆ ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ในการจับพระ(หรือจะกำพระไว้ในมือซ้ายก็ไม่ว่าอะไร) ปลดกำลังหัวไหล่ กับแขน ตามสบาย ไม่ต้องเกร็งข้อศอกตั้งฉาก เอามือไว้ที่ท้องระดับสะดือ กำหนดความรู้สึกไปที่องค์พระ แล้วพูดในใจว่า ขอชมบารมี วางใจให้เป็นกลางๆอย่าโลภ คืออย่าไปคิดว่า เมื่อไรพระจะนำมือซักที อะไรประมาณนี้ในเบื้องต้น แล้วรอจนกว่าพระจะนำมือเราวิ่งไป ช้าเร็วอยู่ที่ฝึก ..
ถ้า พระนำมือคุณวิ่งแล้ว คราวนี้ก็มาแปลความหมาย ของการที่พระนำมือคุณวิ่งหมุนในลักษณะต่างๆ ว่ามีความหมายว่าอย่างไรกันบ้าง อันนี้ เป็นการทำแบบฝึกหัด ใครทำแบบฝึกหัดแล้ว จะส่งการบ้าน โพสไว้ได้เลย
ถ้ารู้สึกเริ่มเมื่อย แขน ให้หยุดทันที เพราะตอนนี้ถ้าคุณถืออะไรไว้ในมือ แล้วคุณอยากให้วิ่งละก็ คุณจะแยกไม่ออกแล้วว่า เป็นแรงที่คุณออกแรงผลักไปเองโดยไม่รู้ตัว หรือเป็นแรงดึงจากของในมือ
การจับ พลังพระแบบวิธีนี้ ถือว่าเป็นการฝึกอุปจาระสมาธิอย่างหนึ่ง (สมาธิชั่วคราว ชั่วขณะ) ถ้าฝึกเช็คพลังบ่อย ๆเวลาเข้าสมาธิจะคล่องตัวดีมาก
วิธีที่2
วิธีจับพลังพระเครื่อง
สำหรับ ท่านที่สงสัยว่าพระที่บูชามามีพลังด้านไหน หรือ พระสมเด็จ หรือเหรียญเก่าๆที่บ้าน ที่ตกทอดกันมาถึงท่านอาจเป็นของแท้ก็ได้ ไปหาเซียนก็กลัวว่าเก๊ ไปเช็คพระก็เสียเงิน เรามีวิธีเบื้องต้นดังนี้ครับ..
1.ตั้งนะโม 3 จบ อธิษฐานขออนุญาต
2.หาพระเครื่อง (หรือเครื่องรางประเภทอื่นก็ได้) ที่ถูกใจมาแทน (เผื่อไว้หลายชิ้นหน่อย)
3.ใช้มือข้างที่ถนัดจับองค์พระไว้เบาๆ ปล่อยหัวไหล่กับ แขนตามสบาย ข้อศอกตั้งฉาก ถือไว้ลอยๆ (ตอนนี้มือจะถือพระอยู่บริเวณท้อง)
4.เข้าสมาธิ ระดับอุปจารสมาธิ (ถ้าลึกกว่านี้จะใช้ไม่ได้) เพ่งไปที่องค์พระ
5.ให้สังเกตุอาการดังนี้
5.1 จะรู้สึกร้อนนิดๆ ที่มือตรง บริเวณองค์พระ
5.2 จะมีความรู้สึกว่ามีแรงดึงหรือ ผลักออกมาจากองค์พระ ให้ปล่อยและประคองมือไปตามองค์พระ
5.3 ทีนี้ก็มาเลือกพระใส่กันโดยดูอาการตามนี้
1 ถ้าองค์พระดึงมือวิ่งไปทางด้านหลัง แล้วกลับมาที่เดิมแล้วไปอีกเรื่อยๆ แปลว่า มีกำลังทางด้าน แคล้วคลาด
2 ถ้าองค์พระ วิ่งวนเป็นวงกลม อยู่ข้างหน้า แปลว่าเป็นพระอธิษฐาน (อยากได้อะไรก็ขอเอา)
3 ถ้าองค์พระวิ่งไปข้างหน้าแล้ววนเข้าหาตัว แปลว่าเป็นพระมหาลาภ
4 ถ้าองค์พระวิ่งไปข้างหน้าแล้ววนเข้าหาหัวใจ แปลว่าเป็นพระเมตตามหานิยม
5 ถ้าองค์พระวิ่งไปข้างหน้า แล้ววนเข้าหาปาก แปลว่าเป็นพระที่ลง สาริกาลิ้นทอง
6 ถ้าองค์พระวิ่งออกไปตรงๆ แล้ววิ่งกลับมาตรงๆ เป็นพระที่ลงคงกระพันชาตรีไว้ (ผู้รู้บอกว่าให้นิมนต์ขึ้นหิ้งไปเลย แล้วเอาพระเมตตามหานิยมมาใส่ดีกว่า เพราะเป็นพระร้อน)
7 ถ้าองค์พระวิ่งวนขึ้นหัว แปลว่าเป็นพระที่ลงไว้ครบทุกอย่าง หรือลงไว้หลายอย่าง (เช็คยากกว่าพระที่ลงพลังไว้อย่างเดียว กว่าพระจะเริ่มเคลื่อนบางทีรอตั้งนาน)
8 ถ้ารู้สึกเริ่มเมื่อยแขน ให้หยุดทันที เพราะตอนนี้ถ้าคุณถืออะไรไว้ในมือ แล้วคุณอยากให้วิ่งละก็ คุณจะแยกไม่ออกแล้วว่า เป็นแรงที่คุณออกแรงผลักไปเองโดยไม่รู้ตัว หรือเป็นแรงดึงจากของในมือ
วิธีที่สอง
คาถานี้ปลุกพระได้จริงๆๆผมลองมาแล้วใช้จับพลังพระเครื่องนะครับ
นะโมสังวิธาปุกะยะปะนะโมพุทธายะนะมะพะธะนะมะอุอะระหังพุทโธ
ต้องจิตเป็นสมาธิก่อนนะครับจึงจะใช้ได้
ประสบการณ์
ผมไปรับผ้ายันต์ของหลวงพ่อ เพี้ยนมาพอดีผมเลยลองใช้คาถานี้ปลุกดู
ปรากฎว่าของขึ้นครับท่านตัวผมสั่นขนลุกขุนพองร้อนหน้าจนน้ำตาไหลออกมา
เเต่เเปลกมากมันไหลเเค่ข้างเดียว ลองเอาไปครับสำหรับคนสนใจ
วิธีที่3
บทขอขมาพระรัตนตรัย
โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
การเช็คพระหรือพลังพุทธคุณในทุกด้านนั้น มีหลายสำนักและหลากหลายวิธีการ ในหนังสือเล่มนี้จะขอยกตัวอย่างเป็นแนวทางของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.อยุธยา ที่มีวิธีการเช็พลังพระซึ่งในหมู่ศิษย์เรียกกันเองว่า “เช็คพระ” และต้องขอขอบคุณ คุณตปสีโล สหายทางธรรมได้อนุญาตให้นำเสนอเรื่องการจับพลังหรือเช็คพระนี้ได้ จึงเสนอมาให้อ่านคร่าวๆ เพื่อระดับปัญญา สำหรับการจับพลังเท่าที่พอสืบค้นได้มีดังนี้
วิธีการเช็คพลังพุทธคุณ
-วิธีการคือ ใช้มือขวาหรือทั้งสองมือแตะที่ภาพพระ หรือกำไว้ในมือหากเป็นพระเครื่อง หรือจับที่องค์พระหากเป็นพระพุทธรูป..
จาก นั้นทำจิตให้นิ่งและจะรู้สึกสัมผัสได้ถึงพุทธคุณที่ครูบาอาจารย์ท่านได้อธิ ฐานไว้ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.อยุธยา ท่านเคยเล่าเรื่องการปลุกเสกพระให้ศิษย์ท่านหนึ่งฟังว่า “เรื่องคงกะพันชาตรีนั้นทำง่าย แค่ขนลุกก็เหนียวแล้ว แคล้วคลาดยังดีกว่า เพราะไม่เจ็บตัว แต่ดีที่สุดคือ เมตตาเพราะ แคล้วคลาด ยังมีศัตรูแต่รอดพ้นได้ ส่วนเมตตานั้นมีอต่คนรักไม่มีศัตรู การเสกพระให้มีพุทธคุณทางเมตตาจึงทำได้ยากสุด”
มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อที่จับองค์พระและสามารถสัมผัสถึงพุทธคุณ และได้เล่าว่าพระบูชาที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้วนั้น หากเด่นในเรื่องคงกะพันชาตรี เมื่อจับดูจะมีอาการปีติ ขนลุกพองสยองเกล้า แต่ทางหากเด่นทางด้านเมตตา เมื่อจับดูก็จะมีปีติน้ำตาไหล และบังเกิดความสงบเยือกเย็นถึงจิตใจ
การ ที่หลวงปู่ดู่ ท่านได้นำเรื่องการเช็คพระมาสอนนั้น นอกจากเพื่อให้เกิดพุทธานุสติแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านต้องการให้ศิษย์แต่ละคนสามารถเป็นประจักษ์พยามแก่ตนเองได้ ให้เป็นปัจจัตตัง ให้รู้เองเห็นเอง เป็นพยานให้ตนเอง จะได้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้นนั่นเอง มิใช่ไปอวดเด่นอวดดี หรืออวดคุณวิเศษในตัว หรือเที่ยวไปเช็คพระให้ผู้อื่น ซึ่งจริงๆ แล้วหากผู้อื่นยังทำไม่เป็น ถึงเขาจะบอกว่าเชื่ออย่างไร โดยส่วนลึกเขาก็ยังมีความลังเลสงสัยอยู่นั้นเอง เพราะไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเองสิ่งที่ท่านสอนนั้น จะต้องเป็นไปเพื่อการลดละความโลภ จึงเป็นข้อพิจารณาระมัดระวังไม่ให้ผิดทาง
การจับพลังพระแบบต่างๆ
– การขอชมบารมีพุทธคุณ อิทธิคุณพระด้วยวิชามโนยิทธิ
1. เดินจิตเข้าสู่มโนยิทธิ
2.นึกถึงพระขออนุญาตท่านศึกษาพระบารมีในพระเครื่อง
3. เจาะรายละเอียดปลีกย่อย เช่น สร้างอย่างไร ้ เพื่อใคร ใครร่วมสร้าง มวลสารหลักอะไร
4. อาการที่เห็นจะแสดงออกมาเป็นภาพแสง บางที่จะรู้สึกถึงกำลังได้ บางทีก็เห็นเป็นแสงสีต่างๆ และรัศมีความกว้าง
5. อยากศึกษาอะไรก็ถามพระแล้วเดินจิตเอา
6.อุปทานจะเกิดขึ้นได้ต้องพึงระวัง แต่ถ้าเพื่อศึกษาจริงๆ มักจะไม่พลาด ที่พลาดมักเป็นการดูเพื่อผลประโยชน์
ใช้วิชาภูติพระพุทธเจ้า
(ตาม การเรียกของหลวงปู่ดู่) หรือวิชาเปิดโลก (ตามการเรียกเพื่อให้เกียรติของคณาจารย์) วิชาเปิดโลกก็มี 2 ระดับเช่นกันคือ แบบปกติกับแบบเต็มกำลัง ซึ่งแบบเต็มกำลังจะคลุมมโนยิทธิแบบเต็มกำลัง และอภิญญาด้วย แต่อภิญญาเป็นฝ่ายบุญฤทธิ์ คือสำเร็จด้วยการอธิฐานบุญเป็นหลัก ที่ใช้กันและเผยแพร่กันเป็นสาธารณะเป็นวิชาเปิดโลกแบบปกติ
-การชมบารมีพุทธคุณ อิทธิคุณพระด้วยวิชาภูติพระพุทธเจ้า(เปิดโลก)
1.ทำการขอขมาพระ ( เช่นบท โยโทโส)
2.น้อมจิตนึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้วทรงภาพท่านให้ชัดเจน
3.น้อม จิตขอให้ท่านเปิดจิตให้ตนเองรู้ เห็น เข้าใจในพุทธคุณอิทธิคุณของพระเครื่องที่ต้องการขอชมบารมีนั้น เพื่อศึกษาไปสู่ความเข้าใจบวกศรัทธา เร่งปฏิบัติ เป็นกำลังใจในการปฏิบัติไปสู่ความเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็ปล่อยวาง
4. ลองกำพระนั้นดู จะมีอาการของพลังแล่นขึ้นมา หากพลังน้อยจะแล่นแค่มือ หากพลังมากสุดจะแล่นถึงศีรษะ หรือแล่นไปทั้งตัว
5.ทำการขอขมาพระเพื่อการปราศจากเวรภัยอีกครั้ง (โยโทโส)
6. ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ทราบถึงพระบารมีอันไร้ประมาณ เพื่อให้ตระหนักว่า ดูแต่เพียงวัตถุที่สมมติรูปลักษณ์แห่งพระพุทธองค์ หรือ พระสงฆ์ ยังมีพลานุภาพเพียงนี้ แล้วพุทธองค์จริงๆ หรือสิ่งสูงสุดที่พุทธองค์ ทรงอุตสาหะค้นหาทำบารมีมากมายคณานับ เพื่อการค้นพบนั่น คือพระธรรมคำสั่งสอนนั้น จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าว สั่งสอนเสมอว่า ให้ค้นหาพระแท้ที่เป็นพระเก่าที่สุด คือ พระพุทธองค์ คำสั่งสอนของพุทธองค์ นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราเข้าสูาสวรรค์ พรหมโลก และพระนิพพานได้ต่อให้จับพลังพระได้ มีพระเครื่องดีๆ เป็นหมื่นๆองค์ แต่ใจเรายังไม่เข้าถึงพระ ใจเรายังไม่เป็นพระแล้วเราก็ยังไม่พ้นทุกขติยภูมิไปได้..
ขอบคุณ
http://homeamulet.com/webboard-th-16966-1189641-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98…html
http://www.khalong.com/board2/thread-22246-1-1.html
http://www.doolekded.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A